เรื่องสั้น: นัดหมายกับความรัก
ความเอยความรัก
เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ
หรือเริ่มในสมองตรองจงดี
แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง
อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่
ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี
ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย— เวนิสวานิช (พระราชนิพนธ์ ร. ๖)
นัดหมายกับความรัก โดย สุลามิธ อิช-คิชอร์
อีกหกนาทีจะหกโมงเย็น—นาฬิกาเหนือห้องประชาสัมพันธ์ในสถานีแกรนด์เซ็นทรัลแห่งมหานครนิวยอร์กยืนยันเวลาตรงกัน นายทหารหนุ่มร่างสูงแห่งกองทัพบกเงยใบหน้าที่กร้านแดดขึ้น หรี่ตาลงเพื่อเพ่งมองเวลาให้แน่ชัด หัวใจของเขาเต้นระทึกในจังหวะอันบีบคั้น อีกหกนาทีเท่านั้น เขาก็จะได้เห็นสตรีผู้สิงสถิตอยู่ในพื้นที่พิเศษสุดในชีวิตของเขาตลอดสิบแปดเดือนที่ผ่านมา สตรีซึ่งเขาไม่เคยยลแม้สักครั้ง แต่ถ้อยคำของหล่อนได้ค้ำจุนจิตใจของเขาไว้โดยไม่เคยขาด
เขาขยับไปยืนชิดห้องประชาสัมพันธ์เท่าที่จะทำได้ พ้นจากวงผู้คนที่กำลังรุมล้อมซักถามเจ้าหน้าที่…
ร้อยโทแบลนด์ฟอร์ดหวนระลึกถึงค่ำคืนหนึ่งเป็นพิเศษ คืนแห่งการรณรงค์อันดุเดือดเลวร้ายที่สุด เมื่อเครื่องบินของเขาถูกรุมล้อมในท่ามกลางฝูงบินซีโร่ เขาได้เห็นใบหน้าแสยะยิ้มของนักบินฝ่ายศัตรู
ในจดหมายฉบับหนึ่ง เขาเคยสารภาพกับหล่อนว่าเขามักรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ่อยครั้ง และเพียงไม่กี่วันก่อนการยุทธ์ครั้งนั้น เขาก็ได้รับคำตอบจากหล่อน: “แน่นอนค่ะ คุณต้องกลัว…คนกล้าหาญทุกคนก็เคยรู้สึกเช่นนั้น กระทั่งกษัตริย์เดวิดก็ยังทรงรู้จักความกลัวมิใช่หรือ? นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ทรงประพันธ์สดุดีบทที่ 23 คราวหน้าที่คุณสงสัยในตนเอง ฉันอยากให้คุณได้ยินเสียงสวดจากฉัน: ‘แม้ข้าพระองค์จะเดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์’” และเขาระลึกได้ เขาราวกับได้ยินเสียงของหล่อนในจินตนาการ และเสียงนั้นได้ฟื้นฟูกำลังและทักษะของเขาขึ้นอีกครั้ง
บัดนี้ เขากำลังจะได้ยินเสียงที่แท้จริงของหล่อนแล้ว อีกสี่นาทีจะหกโมงเย็น หญิงสาวผู้หนึ่งเดินเฉียดเข้ามาใกล้ และร้อยโทแบลนด์ฟอร์ดถึงกับสะดุ้ง หล่อนติดดอกไม้อยู่ดอกหนึ่ง แต่หาใช่ดอกกุหลาบสีแดงดอกเล็กๆ ตามที่ตกลงกันไว้ไม่ ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวผู้นี้อายุราวสิบแปดปีเท่านั้นเอง แต่ฮอลลิส เมย์เนลล์เคยบอกเขาว่าหล่อนอายุสามสิบ “แล้วจะเป็นไรไป?” เขาตอบไปว่า “ผมอายุสามสิบสอง” ทั้งที่ความจริงเขาอายุเพียงยี่สิบเก้า
ความคิดของเขาย้อนกลับไปถึงหนังสือเล่มนั้น—หนังสือที่พระผู้เป็นเจ้าคงประทานใส่มือเขา จากบรรดาหนังสือห้องสมุดกองทัพหลายร้อยเล่มที่ถูกส่งมายังค่ายฝึกที่ฟลอริดา โซ่ตรวนของชีวิต คือชื่อของมัน และตลอดทั้งเล่มปรากฏข้อความที่บันทึกไว้ด้วยลายมือของสตรีผู้หนึ่ง เขาชิงชังนิสัยขีดเขียนลงในหน้าหนังสือเสมอมา แต่ข้อความเหล่านี้กลับแตกต่างออกไป เขาไม่เคยเชื่อเลยว่าสตรีจะสามารถหยั่งลึกถึงหัวใจของบุรุษได้อย่างอ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจถึงเพียงนี้ ชื่อของหล่อนปรากฏอยู่บนใบรองปก: ฮอลลิส เมย์เนลล์ เขาเพียรหาจนได้สมุดโทรศัพท์ของมหานครนิวยอร์กและพบที่อยู่ของหล่อน เขาเขียนจดหมายไป หล่อนตอบกลับมา วันรุ่งขึ้นเขาก็ต้องถูกส่งตัวออกไป แต่ทั้งสองยังคงเขียนติดต่อถึงกัน
เป็นเวลาสิบสามเดือนที่หล่อนตอบกลับอย่างสม่ำเสมอ เมื่อจดหมายของเขาไปไม่ถึง หล่อนก็ยังคงเขียนมา และบัดนี้เขาเชื่อว่าเขารักหล่อน และหล่อนก็รักเขา แต่หล่อนปฏิเสธคำร้องขอทั้งหมดของเขาที่จะให้ส่งรูปถ่ายมาให้ หล่อนชี้แจงว่า: “ถ้าความรู้สึกที่คุณมีต่อฉันไม่มีอยู่จริง หน้าตาของฉันจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ สมมติว่าฉันสวย ฉันก็คงจะถูกหลอกหลอนอยู่เสมอว่าคุณเพียงเสี่ยงโชคกับความสวยนั้น และความรักเช่นนั้นน่ารังเกียจสำหรับฉัน สมมติว่าฉันเป็นคนหน้าตาธรรมดา (ซึ่งคุณต้องยอมรับว่าเป็นไปได้มากกว่า) ฉันก็จะหวาดหวั่นอยู่เสมอว่าคุณยังคงเขียนจดหมายต่อไปเพียงเพราะคุณเปล่าเปลี่ยวและไม่มีใครอื่น ไม่ค่ะ อย่าขอรูปฉันเลย เมื่อคุณมาถึงนิวยอร์ก คุณก็จะได้เห็นฉัน และเมื่อนั้นคุณค่อยตัดสินใจด้วยตนเอง”
อีกหนึ่งนาทีจะหกโมงเย็น—หัวใจของร้อยโทแบลนด์ฟอร์ดทะยานสูงยิ่งกว่าเครื่องบินของเขาเคยบินถึงเสียอีก
หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมาทางเขา เรือนร่างของหล่อนระหงอรชร เรือนผมสีทองของหล่อนม้วนเป็นลอนคลอเคลียใบหูอันบอบบาง ดวงตาของหล่อนสีฟ้าดุจดอกไม้ ริมฝีปากและคางแฝงความเด็ดเดี่ยวอย่างอ่อนโยน ในชุดสีเขียวอ่อนนั้น ราวกับความงามแห่งฤดูใบไม้ผลิได้จุติลงในร่างหล่อน
เขาก้าวไปหาหล่อน ลืมสังเกตไปโดยสิ้นเชิงว่าหล่อนมิได้ติดดอกกุหลาบ และขณะที่เขาเคลื่อนเข้าไปใกล้ รอยยิ้มเล็กๆ อันยวนใจได้วาดขึ้นที่ริมฝีปากของหล่อน
“จะไปทางเดียวกับฉันหรือคะ…คุณทหาร?” หล่อนพึมพำ
โดยมิอาจควบคุมได้ เขาก้าวเข้าไปชิดหล่อนอีกก้าวหนึ่ง แล้วจึงได้เห็นฮอลลิส เมย์เนลล์
หล่อนยืนอยู่เกือบจะด้านหลังของหญิงสาวผู้นั้น เป็นสตรีวัยล่วงสี่สิบ ผมสีดอกเลาของหล่อนถูกเก็บซ่อนไว้ใต้หมวกใบเก่าคร่ำคร่า หล่อนเผละเกินกว่าจะเรียกว่าท้วม ข้อเท้าหนาๆ ของหล่อนถูกยัดอยู่ในรองเท้าส้นเตี้ย แต่หล่อนติดดอกกุหลาบสีแดงไว้บนปกเสื้อโค้ตที่ยับย่น หญิงสาวในชุดสีเขียวกำลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
แบลนด์ฟอร์ดรู้สึกราวกับว่าร่างของเขากำลังจะปริแยกออกเป็นสองส่วน ความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะติดตามหญิงสาวผู้นั้นสวนทางกับความผูกพันอันลึกซึ้งต่อสตรีผู้ซึ่งจิตวิญญาณได้เป็นเพื่อนแท้และคอยค้ำจุนเขา และหล่อนก็ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว ใบหน้าซีดเผือดอวบอูมของหล่อนนั้นดูอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยเหตุผล เขามองเห็นได้ในบัดนี้ ดวงตาสีเทาของหล่อนทอประกายอบอุ่นและเมตตา
ร้อยโทแบลนด์ฟอร์ดมิได้ลังเลอีกต่อไป นิ้วของเขาจิกกำหนังสือ โซ่ตรวนของชีวิต เล่มเล็กปกหนังสีน้ำเงินเก่าคร่ำซึ่งเป็นเครื่องยืนยันตัวตนของเขากับหล่อน นี่อาจไม่ใช่ความรัก แต่มันคือบางสิ่งที่ล้ำค่า บางทีอาจเป็นสิ่งที่หายากยิ่งกว่าความรักเสียอีก—นั่นคือมิตรภาพซึ่งเขาเคยได้รับและต้องซาบซึ้งต่อมันตลอดไป
เขายืดไหล่กว้าง ทำความเคารพ และยื่นหนังสือไปยังสตรีผู้นั้น แม้ขณะที่เอ่ยวาจา เขายังรู้สึกสะท้านกับความขมขื่นในความผิดหวังของตน
“ผมร้อยโทจอห์น แบลนด์ฟอร์ด และคุณ…คุณคือคุณเมย์เนลล์ ผมดีใจเหลือเกินที่คุณมาพบผมได้ ผมขอ…ขอเชิญคุณไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกันได้ไหมครับ?”
ใบหน้าของหญิงผู้นั้นแย้มยิ้มอย่างเมตตาปรานี “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันเป็นยังไงมายังไง พ่อหนุ่ม” หล่อนตอบ “คุณผู้หญิงในชุดสีเขียวคนนั้น—คนที่เพิ่งเดินผ่านไป—ขอให้ฉันติดดอกกุหลาบนี้ไว้ที่เสื้อโค้ต และหล่อนบอกว่าถ้าคุณชวนฉันไปไหนด้วย ก็ให้บอกคุณว่าหล่อนกำลังรอคุณอยู่ที่ภัตตาคารใหญ่ฝั่งตรงข้ามโน้น หล่อนบอกว่ามันเป็นการทดสอบอะไรสักอย่างน่ะ ฉันเองก็มีลูกชายอยู่กับลุงแซมสองคนเหมือนกัน เลยยินดีที่จะช่วย”
เกร็ดสำหรับผู้อ่าน
เพื่อให้เข้าใจถึงบรรยากาศและอารมณ์ของเรื่องสั้นเรื่องนี้ได้มากยิ่งขึ้น บริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมบางอย่างอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไทย
- ช่วงเวลาของเรื่อง: เรื่องราวเกิดขึ้นในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประมาณปี ค.ศ. 1941-1945) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเขียนจดหมายเป็นช่องทางการสื่อสารทางไกลที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับทหารที่ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในสมรภูมิต่างแดน จดหมายจึงเป็นมากกว่าแค่ข้อความ แต่เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจและความหวัง
- สถานีแกรนด์เซ็นทรัล (Grand Central Station): สถานีรถไฟแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานีรถไฟธรรมดา แต่เป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามและเป็นสัญลักษณ์สำคัญใจกลางมหานครนิวยอร์ก การเป็นจุดนัดพบที่พลุกพล่านของผู้คนนับไม่ถ้วน ยิ่งขับเน้นความรู้สึกโดดเดี่ยวและความตื่นเต้นในการรอคอยใครสักคนหนึ่งของตัวละคร
- ฝูงบินซีโร่ (A pack of Zeros): “ซีโร่” คือชื่อเรียกของเครื่องบินรบสมรรถนะสูงของจักรวรรดิญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 การกล่าวถึงเครื่องบินรบรุ่นนี้บ่งชี้ว่าร้อยโทแบลนด์ฟอร์ดเคยผ่านการรบในสมรภูมิแปซิฟิกที่ดุเดือดมาแล้ว
- หนังสือ “Of Human Bondage”: นวนิยายเล่มนี้ (ชื่อไทยที่รู้จักกันคือ “โซ่ตรวนของชีวิต”) เป็นผลงานชิ้นเอกของนักเขียนชาวอังกฤษ ดับเบิลยู. ซัมเมอร์เซต มอม มีเนื้อหาเกี่ยวกับการดิ้นรนค้นหาความหมายของชีวิต ความรักที่ลุ่มหลง และการเติบโตทางความคิด การที่คนสองคนสามารถเชื่อมโยงกันได้ผ่านความคิดเห็นในหนังสือเล่มนี้ แสดงให้เห็นถึงความผูกพันทางปัญญาที่มากกว่าความรักฉาบฉวย
- สดุดีบทที่ 23 (The 23rd Psalm): เป็นบทสวดที่รู้จักกันดีที่สุดบทหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ เนื้อหาปลอบประโลมและสร้างความเชื่อมั่นว่าจะปลอดภัยภายใต้การคุ้มครองของพระเจ้า การที่ฮอลลิสยกบทสวดนี้มาให้กำลังใจ แสดงถึงความเข้าอกเข้าใจและมอบที่พึ่งทางใจที่ลึกซึ้งให้แก่ทหารที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายทุกวัน
- “ลุงแซม” (Uncle Sam): เป็นบุคลาธิษฐานสัญลักษณ์ที่ใช้แทนรัฐบาลและกองทัพของสหรัฐอเมริกา การที่สตรีสูงวัยบอกว่าเธอมี “ลูกชายอยู่กับลุงแซมสองคน” ก็หมายความว่าลูกชายของเธอก็รับราชการทหารเช่นกัน จึงเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือร้อยโทแบลนด์ฟอร์ด
หมายเหตุ
เรื่องนี้เป็นต้นเรื่องของ “รักที่หมายมา” ของ อุษณา เพลิงธรรม และ “รักที่หมายมา” ก็เป็นต้นเรื่อง “ดวงตาที่สาม” ของ แดนอรัญ แสงทอง อีกชั้นหนึ่ง
ผมชอบ “รักที่หมายมา” มากกว่าต้นฉบับเสียอีก แต่ก็คงไม่แปลกนักเพราะหลายครั้ง ผมก็ชอบงาน cover มากกว่างานต้นฉบับ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอ่านฉบับ cover ก่อน