Where thoughts connect and life unfolds.

หนังสือสองเล่ม

เรื่องสั้นที่ผมแต่งขึ้นเมื่อคืนหลังจากอ่าน The Necklace ของ กี เดอ โมปาสซ็องจบ อยากลองแต่งบ้าง

หนังสือสองเล่ม

‘อยู่ไหนนะ’ ผมคิดขณะไล่สายตาไปตามชั้นหนังสือเก่าที่บ้าน ผมกำลังหาหนังสือรวมเรื่องสั้นของ ‘อุษณา เพลิงธรรม’ แต่แล้วสายตาผมก็มาหยุดอยู่ที่สันหนังสือเรื่องเดียวกันสองเล่มที่วางติดกัน ‘เงาคือเธอ’ เล่มหนึ่งเก่าคร่ำคร่า อีกเล่มหนึ่งใหม่กว่านิด นี่คือหนังสือเล่มโปรดของผม ผลงานของนักเขียนคนโปรดชาวญี่ปุ่น ผมหยิบเล่มที่เก่ากว่าออกมา เปิดผ่านหน้ากระดาษที่เหลืองกรอบ ปกหุ้มพลาสติกใสกรอบขาดวิ่น ไม่เคยเปิดมันอีกเลยในสิบกว่าปีที่ผ่านมา แต่เมื่อพลิกหน้ากระดาษไปมา ความทรงจำเมื่อสิบห้าปีก่อนก็หวนกลับมาราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

15 ปีก่อน

บรรยากาศร่มรื่นยามเย็นย่ำเคล้ากลิ่นหอมกาแฟคั่วจางๆ คือเสน่ห์ของร้าน ‘ซาดิก’ ร้านหนังสืออิสระที่เป็นเหมือนโอเอซิสกลางเมืองของผมในวัยยี่สิบปลาย เย็นใกล้ค่ำนั้นผมตั้งใจมาเข้าร่วมวงสนทนาบุ๊คคลับเกี่ยวกับ ‘เงาคือเธอ’ ที่ผมเพิ่งอ่านจบเมื่อวันก่อน ผมได้หนังสือเล่มนี้มาจากร้านหนังสือมือสองร้านหนึ่ง สภาพดีมีปกแจ็กเก็ตสวยงามหุ้มพลาสติกใสอย่างดี

ผมมาช้าไปนิด โต๊ะยาวตัวเดียวของร้านเต็มแน่นทุกที่นั่งแล้ว ผู้ดำเนินรายการกำลังจะเริ่มพูด ผมได้แต่ยืนเก้ออยู่ตรงทางเข้า พลางตำหนิตัวเองในใจ

“ที่เต็มแล้วเหรอคะ” เสียงใสแผ่วเบาพอได้ยินดังขึ้นจากด้านหลัง

ผมหันไปพบหญิงสาวคนหนึ่ง เธอดูผิดหวังไม่ต่างจากผม แต่รอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากกลับทำให้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดคลายลงอย่างน่าประหลาด เธอมีดวงตาที่สดใส แม้จะแต่งตัวเรียบง่ายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ แต่กลับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ผมไม่อาจละสายตา

“น่าจะครับ คนมากันเยอะเลย ผมก็เพิ่งมาถึง”

“เรามาช้าไปสินะคะ” เธอยิ้ม

“เสียดายจัง อุตส่าห์รีบมา” ผมตัดสินใจชวนคุย

ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมา “ฉันก็เหมือนกันค่ะ” เธอนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “แถวนี้มีร้านกาแฟเงียบๆ อยู่ร้านหนึ่ง ไหนๆ ก็มาแล้ว… เราไปตั้งบุ๊คคลับกันเองสองคนมั้ยคะ”

ข้อเสนอของเธอทำให้ผมประหลาดใจ แต่ก็ใจเต้นแรงในเวลาเดียวกัน “ดีเลยครับ”

ร้านกาแฟที่เธอแนะนำนั้นซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็กๆ บรรยากาศอบอุ่นและเป็นส่วนตัว เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระราวกับรู้จักกันมานาน ผมพบว่าเธอเป็นนักวาดภาพประกอบ เราชอบดูหนังขาวดำของผู้กำกับคนเดียวกัน ชอบเรื่องสั้นของ กี เดอ โมปาสซ็อง เหมือนกัน นานแค่ไหนแล้วที่บทสนทนากับใครสักคนจะไหลลื่นและชวนให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งได้ถึงเพียงนี้ และทุกครั้งที่เธอยิ้ม โลกของผมดูเหมือนจะสว่างไสวขึ้น

เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ผมถึงนึกขึ้นได้ว่าเรายังไม่ได้คุยเรื่องหนังสือต้นเรื่องกันเลย

“เกือบลืมไปเลย” ผมหัวเราะ “ตกลง ‘เงาคือเธอ’…คุณคิดว่าเป็นยังไงบ้างครับ”

“อืม…” เธอถอนหายใจยาว ดวงตาของเธอฉายแววเศร้าสร้อย “สำหรับฉัน มันเป็นเรื่องราวที่บีบคั้นหัวใจมากเลยค่ะ สารที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อเกี่ยวกับความสูญเสียมันชัดเจนและโหดร้ายมาก”

ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “ความสูญเสียเหรอครับ” ผมทวนคำ “ผมกลับรู้สึกตรงกันข้ามเลยนะ ผมว่าแก่นของมันคือเรื่องของความหวังต่างหาก”

รอยยิ้มของเธอค่อยๆ หายไป เธอจ้องหน้าผมนิ่ง ดวงตาคู่สวยฉายแววสับสนอย่างชัดเจน “ความหวังเหรอคะ”

เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อเรื่องที่อ่านกันอีกสักพัก บรรยากาศที่เคยสดใสรื่นรมย์เมื่อครู่พลันหนักอึ้งขึ้นมาทันที ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว หรือว่าเธอจะไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้มาจริงๆ ขณะเดียวกัน ผมก็มองเห็นเงาสะท้อนของความคิดเดียวกันในแววตาของเธอ ที่คงกำลังมองว่าผมเป็นฝ่ายเข้าใจทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด แต่ผมเพิ่งอ่านจบไปเมื่อวาน ความมั่นใจของผมจึงยังเต็มเปี่ยม

จะเพราะความเกรงใจหรือไม่ก็อัตตาที่ผมมีนั้นกลายเป็นกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นกลางระหว่างเรา ผมไม่กล้าถามว่า “คุณจำผิดแล้ว” หรือ “คุณเข้าใจผิดหรือเปล่า” ออกไปตรงๆ เคมีที่เคยเข้ากันได้อย่างน่าอัศจรรย์เมื่อครู่ได้ระเหยหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความอึดอัดและระยะห่าง เราดื่มกาแฟที่เย็นชืดแล้วจนหมดแก้วในความเงียบ ก่อนจะกล่าวคำอำลาสั้นๆ ที่หน้าประตูร้าน เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

ปัจจุบัน

“พ่อคะ” เสียงของลูกสาววัยหกขวบดึงผมกลับมาจากภวังค์ ผมกะพริบตา ผมยังคงยืนอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน แสงแดดยามสายยังคงส่องกระทบชั้นหนังสือ เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นที่ประตู “คุยอะไรกันอยู่คะ” ภรรยาวัยสามสิบปลายของผม เดินเข้ามายืนใกล้ๆ

“เล่มนี้ไงจ๊ะ…” ผมตอบพลางชูหนังสือเล่มเก่าในมือให้เธอดู

ทันทีที่ผมขยับมัน แจ็กเก็ตปกนอกสีจางที่เก่าคร่ำคร่าก็ไม่อาจยึดเกาะกับตัวเล่มได้อีกต่อไป มันเลื่อนหลุดและร่วงหล่นลงสู่พื้น เผยให้เห็นปกแข็งของหนังสือที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้แจ็กเก็ตมาตลอดสิบห้าปี

บนปกแข็งสีน้ำเงินเข้มนั้นไม่ได้มีชื่อเรื่องว่า ‘เงาคือเธอ’ แต่เป็นตัวอักษรสีขาวอีกชื่อหนึ่งที่ประทับไว้อย่างชัดเจน

‘เธอคือเงา’ อีกเรื่องของนักเขียนคนเดียวกันที่ผมคิดว่าตัวเองไม่เคยอ่าน

เธอมองปกหนังสือที่แท้จริงสลับกับใบหน้าที่ตกตะลึงของผม ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“อ๋อ คุณเพิ่งรู้เมื่อกี้สินะคะ”

ลูกสาวเงยหน้าขึ้นมองพ่อกับแม่สลับกันอย่างไม่เข้าใจ “หนังสือเล่มนี้มันทำไมเหรอคะ”

ผมยิ้ม ผมวางหนังสือเล่มนั้นลงบนโต๊ะ “ก็เป็นหนังสือเล่มที่ทำให้พ่อได้เจอกับแม่ไงจ๊ะ”

ภรรยาผมเดินไปหยิบหนังสืออีกเล่มหนึ่งของเธอออกมาจากชั้น

‘เงาคือเธอ’ ฉบับที่ถูกต้อง

ผมหันไปยิ้มให้ภรรยา เราสบตากันอย่างรู้กัน แล้วเธอจึงพูดขึ้น

“โชคดีนะคะที่คืนนั้นคุณวิ่งตามไปขอเบอร์ฉัน”