สายลมแห่งเวลา
พาฉันสู่มนตราแห่งเสี้ยวเวลา สู่ราตรีอันอำไพ ที่ที่เด็กน้อยของวันพรุ่งนี้ ผู้ที่มีฝัน ได้ฝันต่อ ในสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง
— สกอร์เปียนส์
สายลมแห่งเวลา
50 ปีก่อน หากเอ่ยชื่อ “ยุวดี” ผู้คนจะเห็นภาพของหญิงสาวผมยาวประบ่าในเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีอ่อน กางเกงขาบาน และกีตาร์โปร่งเสียงใส เธอเป็นนักแต่งเพลงผู้มีถ้อยคำที่จริงแท้เหมือนดินและหญ้า เป็นเสียงเพลงประกอบชีวิตของผู้คนที่แสวงหาความฝันและความหมาย แต่ในวันนี้ ยุวดีเข้าวัยผมขาวเทา อาศัยอยู่ในบ้านไม้เก่าริมคลอง ไม่มีใครจำภาพอดีตนั้นได้อีกแล้ว ชื่อเธอถูกคลื่นเวลาเซาะจนเกือบลบเลือน
ชีวิตของเธอตอนนี้เรียบง่ายเงียบงัน ยามเช้า เธอจะชงกาแฟดำหนึ่งแก้ว แล้วออกไปนั่งที่ระเบียง ปล่อยให้เท้าเปล่าสัมผัสความเย็นของพื้นไม้ บางครั้ง สายลมพัดพาเอาเศษเสี้ยวของทำนองเพลงเก่าๆ ของเธอมาด้วย เสียงนั้นแผ่วเบาจนแทบจับไม่ได้ เธอเงี่ยหูฟัง ราวกับว่ามันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสายลมไปแล้วจริงๆ เธอมักจะหลับตาลง ปล่อยให้เสียงนั้นเคล้าคลอไปกับเสียงเครื่องเรือหางยาวที่ดังแว่วมาแต่ไกล สลับกับความเงียบของคลอง
บ่ายวันหนึ่ง ด้วยความรู้สึกอยากจะเห็นโลกที่เปลี่ยนไป เธอเข้าไปในเมืองเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เป้าหมายของเธอคือห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวริมแม่น้ำ—กล่องแก้วมหึมาปรับอากาศที่ทางเดินวกวนซับซ้อนราวเขาวงกต พอข้ามเข้ากระจกไป กลิ่นน้ำหอมสารพัดปะทะประสาทรับรู้ เสียงเพลงจังหวะเร็วเร่งเร้าและเสียงโฆษณาสินค้าพุ่งมาจากทุกทิศทางจนวิงเวียน ผู้คนรอบตัวเธอเดินอย่างรีบเร่ง เธอเดินอย่างไร้จุดหมาย ผ่านป้ายไฟภาษาต่างประเทศยาวๆ ที่เธออ่านช้าๆ ยังเดาไม่ออกว่าขายอะไร
จนกระทั่งเดินออกมาที่ลานริมน้ำด้านนอก แสงแดดจัดจ้าจนเธอต้องหรี่ตา ที่นั่นเอง เธอก็เห็นชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น เขามีริ้วรอยลึกบนใบหน้าและมือที่กร้านแดดแต่โดยรวมดูใจดีอย่างประหลาด เขากำลังวางขายผ้าคลุมไหล่ทอมือผืนบางๆ เพียงไม่กี่ผืน ข้างตัวมีป้ายกระดาษแข็งเขียนปากกา: ‘กันแดด กันฝน’
ด้วยความรู้สึกถูกชะตาหรืออะไรบางอย่างที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ ยุวดีเดินเข้าไปหา ชายชรายื่นผ้าคลุมไหล่ผืนหนึ่งให้เธอเลือก มันเป็นผ้าฝ้ายสีขาวนวลธรรมดาๆ ที่ดูไม่มีอะไรพิเศษ
“เอาไว้กันแดดนะแม่หนู” เขาพูดเสียงแหบพร่า ในน้ำเสียงมีรอยยิ้มใจดี
คำว่า “แม่หนู” ทำให้ยุวดีสะดุดเล็กน้อย เป็นคำที่ไม่มีใครเรียกเธอมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ชายชรากลับพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเขามองเห็นหญิงสาวอ่อนวัย
“กันแดด กันฝน” เขาพูดต่อช้าๆ “แล้วก็กันเวลา”
ยุวดีขมวดคิ้วกับประโยคสุดท้ายนั้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ เธอเพียงแค่จ่ายเงิน รับธนบัตรเงินทอนและผ้าผืนนั้นมาด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
เธอยกผ้าคลุมขึ้นเหนือศีรษะ ผ้าฝ้ายสัมผัสหน้าผาก—เย็นกว่าลมเครื่องปรับอากาศ ความสว่างในบรรยากาศถูกหรี่ลงอย่างชัดเจน กลิ่นน้ำมันเรือแทรกจากไหนไม่รู้ เสียงเพลงจากห้างเงียบไป เหลือคำรามต่ำของเครื่องเรือจากไกล แสงฝนขีดเส้นเฉียงบนกระจก ผืนผ้าไหวตามลมเหมือนเมฆเสี้ยวหนึ่งถูกดึงลงมา เธอไม่ทันเอะใจว่าเมื่อไรที่เท้าตัวเองไปยืนอยู่ริมแม่น้ำอีกแห่ง—สายฝนโปรยละออง
เธอมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งกอดกีตาร์อยู่บนม้านั่งไม้เก่า หญิงสาวผมยาวประบ่าในเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายกับกางเกงขาบาน ตัวเธอเองในวัยยี่สิบสอง
ยุวดีในวัยสาวอยู่ในความเศร้า ท่ามกลางความสับสนของผู้คนและความไม่แน่นอนของยุคสมัย เธอผิดหวัง ท้อแท้ และกำลังจะยอมแพ้ให้กับความฝันในการเป็นนักแต่งเพลง เธอรู้สึกว่าถ้อยคำที่เธอพยายามจะเรียงร้อยมันช่างว่างเปล่าและไร้ความหมาย นิ้วของเธอไล้ไปตามคอกีตาร์อย่างเหม่อลอย คลำหาความคุ้นเคยในเงามืด
ยุวดีมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่สั่นไหว เธอจำค่ำคืนนั้นได้ดี คืนที่เธอเกือบจะโยนความฝันทิ้งลงแม่น้ำไปแล้ว แต่ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างที่อยู่เหนือเหตุผล เธอปรารถนาอย่างสุดหัวใจที่จะปลอบโยนเด็กสาวผู้โศกเศร้าคนนั้น เธอเริ่มฮัมเพลงออกมาเบาๆ ทำนองเพลง “สายลมแห่งเวลา” เพลงที่ ณ เวลานั้น ยังไม่ได้ถูกแต่งขึ้น
เสียงฮัมของเธอล่องลอยไปกับสายฝน เป็นทำนองที่เหมือนฝนโรยบางเบาขึ้นลงตามสายลม
เสียงสะอื้นของยุวดีในวัยสาวหยุดชะงัก เธอเงยหน้าขึ้น เงี่ยหูฟังเสียงปริศนานั้น มันเหมือนเสียงกระซิบของละอองฝน เหมือนบทเพลงของสายลม เธอค่อยๆ หยิบกีตาร์ขึ้นมา นิ้วของเธอเริ่มไล่ไปตามคอร์ดอย่างเชื่องช้า พยายามจะไขว่คว้าทำนองเพลงที่ก้องอยู่นั้นไว้
ทันใดนั้นเอง กระแสลมกลางสายฝนก็กระโชกแรงขึ้นอีกครั้ง มันพัดเอาผ้าคลุมไหล่ผืนบางหลุดลอยไปจากศีรษะของยุวดี ผ้าผืนนั้นหมุนคว้างขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วหายลับไป
ภาพตรงหน้าเริ่มเลือน จากมืดสู่สว่าง ฝนหยุดตกแล้ว ท้องฟ้ากำลังเปิดออก แสงสุดท้ายของวันสาดส่องลงมาเป็นลำ ยุวดีกลับมายืนอยู่ที่เดิม
เย็นวันนั้นขณะหยิบเงินจากกระเป๋าเสื้อจ่ายค่าเรือข้ามฟาก
พบว่าธนบัตรเงินทอนนั้นเป็นรุ่นเก่าเลิกใช้ไปนานหลายสิบปีแล้ว
ยุวดียิ้มและฮัมท่อนเดิมสั้นๆ แล้วเก็บธนบัตรเงินทอนนั้นใส่กระเป๋าเสื้อผ้าฝ้ายตัวเก่า