Where thoughts connect and life unfolds.

ถังอามอนติลลาโด

ถังอามอนติลลาโด (The Cask of Amontillado) โดย เอ็ดการ์ อัลลัน โพ

สรรพความเจ็บแค้นนับพันครั้งที่ฟอร์ตูนาโตก่อแก่ข้า—ข้ายังฝืนกล้ำกลืนมาได้ ทว่าเมื่อมันล่วงละเมิดต่อเกียรติ ข้าก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะต้องเอาคืนให้จงได้ ท่านผู้หยั่งรู้ถึงกมลสันดานของข้าดี ย่อมไม่คาดคิดเป็นแน่ว่าข้าจะเอ่ยคำขู่ใด ๆ ออกไป ในที่สุด การล้างแค้นจะต้องบังเกิด นี่คือประเด็นที่ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว—แต่ความแน่วแน่ที่สถิตอยู่ในมตินั้น ย่อมตัดซึ่งความคิดที่จะเสี่ยงภัยใด ๆ ทั้งสิ้น ข้าไม่เพียงต้องลงทัณฑ์ หากต้องลงทัณฑ์โดยมิต้องรับโทษเสียเอง ความผิดยังไม่อาจชดใช้ หากผลตอบแทนแห่งการล้างแค้นย้อนมาถึงผู้ล้างแค้นเสียเอง และย่อมไม่ชดใช้เช่นกัน หากผู้ล้างแค้นทำให้ตน ‘เป็นที่รู้สึก’ แก่ผู้ล่วงละเมิดไม่ได้

พึงต้องเข้าใจไว้ ณ ที่นี้ว่า ทั้งโดยวาจาและการกระทำ ข้ามิเคยให้ฟอร์ตูนาโตต้องแคลงใจในไมตรีจิตของข้าเลย ข้ายังคงยิ้มให้มันต่อหน้าดังเช่นที่เคยเป็นมา และมันก็หาได้ตระหนักไม่ว่ารอยยิ้มของข้าบัดนี้—คือรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขเมื่อนึกถึงการสังเวยชีวิตของมัน

มันมีจุดอ่อนอยู่ข้อหนึ่ง—เจ้าฟอร์ตูนาโตผู้นี้—แม้ว่าในด้านอื่น ๆ มันจะเป็นบุรุษที่น่าเคารพยำเกรงอยู่ก็ตาม มันลำพองใจในความสันทัดจัดเจนเรื่องไวน์ของตน ชาวอิตาเลียนน้อยคนนักที่จะมีจิตวิญญาณแห่งศิลปินอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่แล้ว ความกระตือรือร้นของพวกเขาก็มักจะปรับเปลี่ยนไปตามกาลเทศะและโอกาส เพื่อตบตาพวกมหาเศรษฐีชาวอังกฤษและออสเตรีย ในเรื่องภาพเขียนและอัญมณีนั้น ฟอร์ตูนาโตก็ไม่ต่างจากเพื่อนร่วมชาติของมัน คือเป็นเพียงพวกกำมะลอ—แต่ในเรื่องไวน์เก่าเก็บแล้ว มันกลับจริงแท้ ในแง่นี้ข้าก็มิได้แตกต่างจากมันเท่าใดนัก ตัวข้าเองก็เชี่ยวชาญในเหล้าองุ่นอิตาเลียน และมักจะซื้อหาคราละมากๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส

ครานั้นเป็นเวลาโพล้เพล้ของเย็นวันหนึ่ง ท่ามกลางความบ้าคลั่งถึงขีดสุดของเทศกาลคาร์นิวัล ที่ข้าได้เผชิญหน้ากับสหายผู้นี้ มันทักทายข้าอย่างสนิทสนมจนเกินงาม ด้วยเพราะมันร่ำสุรามาอย่างหนัก บุรุษผู้นั้นสวมชุดตัวตลกหลากสีสัน เป็นอาภรณ์รัดรูปแขนขายาวลายสลับ และศีรษะก็สวมหมวกทรงกรวยประดับกระดิ่ง ข้าดีใจที่ได้พบมันเสียจนนึกว่าคงจะไม่มีวันเลิกจับมือทักทายมันได้

ข้าเอ่ยกับมันว่า—“ฟอร์ตูนาโต สหายรัก โชคดีจริงที่ได้พบท่าน วันนี้ท่านช่างดูดีเป็นพิเศษ! แต่ข้าเพิ่งได้ไวน์มาหนึ่งถังใหญ่ เขาว่าเป็นอามอนติลลาโด แต่ข้ายังกังขาอยู่”

“ว่ากระไรนะ?” มันกล่าว “อามอนติลลาโด? หนึ่งถังใหญ่? เป็นไปไม่ได้! แล้วนี่ยังอยู่ในช่วงคาร์นิวัลนะ!”

“ข้ายังกังขาอยู่” ข้าตอบ “และข้าก็โง่พอที่จะจ่ายเต็มราคาของอามอนติลลาโดโดยมิได้ปรึกษาท่านก่อน ท่านไม่อยู่ให้พบเจอ และข้าก็เกรงว่าจะพลาดของดีราคาเยาไป”

“อามอนติลลาโด!”

“ข้ายังกังขาอยู่”

“อามอนติลลาโด!”

“และข้าต้องไขข้อกังขานี้ให้ได้”

“อามอนติลลาโด!”

“ในเมื่อท่านติดธุระ ข้ากำลังจะไปหาลูเครซี ถ้าจะมีใครสักคนที่มีรสนิยมวิจารณ์ได้เฉียบขาด ก็คงเป็นเขาล่ะ เขาจะบอกข้าได้—”

“ลูเครซีรึ…มันแยกอามอนติลลาโดออกจากเชอร์รียังไม่ได้เลย”

“แต่กระนั้น พวกโง่เขลาบางคนก็ยังยืนกรานว่ารสนิยมของเขาทัดเทียมกับของท่าน”

“มาเถิด เราไปกัน”

“ไปที่ใดรึ?”

“ไปที่ห้องเก็บไวน์ใต้ดินของท่าน”

“สหายข้า อย่าเลย ข้าไม่อยากรบกวนน้ำใจท่าน ข้าเห็นว่าท่านมีนัดหมาย ลูเครซี—”

“ข้าไม่มีนัดหมายใด ๆ—มาเถิด”

“สหายข้า อย่าเลย มันไม่ใช่เรื่องนัดหมาย แต่เป็นเพราะอากาศที่หนาวเหน็บซึ่งข้าสังเกตเห็นว่าท่านกำลังป่วยไข้อยู่ สุสานใต้ดินนั้นชื้นแฉะจนสุดจะทน ทั้งยังปกคลุมไปด้วยดินประสิว”

“ถึงกระนั้นก็ไปเถิด ความหนาวเย็นหาใช่อุปสรรคไม่ อามอนติลลาโด! ท่านถูกหลอกแล้ว ส่วนลูเครซี มันแยกเชอร์รีออกจากอามอนติลลาโดไม่ได้หรอก”

กล่าวจบ ฟอร์ตูนาโตก็คว้าแขนข้าไปครอง ข้าจึงสวมหน้ากากผ้าไหมสีดำ แล้วดึงเสื้อคลุมเข้ากระชับกาย ยอมให้มันเร่งฝีเท้าพากลับไปยังคฤหาสน์ของข้า

ที่บ้านไม่มีคนรับใช้แม้แต่คนเดียว พวกมันคงหนีไปฉลองรื่นเริงตามเทศกาล ข้าได้บอกพวกมันไว้แล้วว่าจะไม่กลับจนกว่าจะรุ่งเช้า และได้สั่งการอย่างชัดเจนว่าห้ามผู้ใดก้าวออกจากบ้าน คำสั่งเหล่านั้นข้ารู้ดีว่าเพียงพอที่จะรับประกันการหายตัวไปของพวกมันทุกคนทันทีที่ข้าคล้อยหลัง

ข้าหยิบคบเพลิงสองอันจากเชิงเทียนบนผนัง ส่งให้ฟอร์ตูนาโตอันหนึ่ง แล้วผายมือนำมันเดินผ่านห้องหับหลายต่อหลายห้องไปยังประตูโค้งที่ทอดสู่สุสานใต้ดิน ข้าเดินลงบันไดที่ทอดยาวและคดเคี้ยว พลางบอกให้มันระมัดระวังขณะตามลงมา ในที่สุดเราก็มาถึงปลายสุดของทางลง และหยุดยืนอยู่ด้วยกันบนพื้นดินชื้นแฉะของสุสานใต้ดินแห่งตระกูลมอนเตรซอร์

ฝีเท้าของสหายข้าไม่มั่นคง และกระดิ่งบนหมวกของมันก็ส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งขณะย่างก้าว

“ถังไวน์เล่า” มันเอ่ยถาม

“ยังอยู่ลึกเข้าไปอีก” ข้ากล่าว “แต่จงสังเกตใยสีขาวที่ส่องประกายวาววับอยู่ตามผนังถ้ำเหล่านี้เถิด”

มันหันมาทางข้า และมองลึกเข้ามาในดวงตาของข้าด้วยนัยน์ตาสีขุ่นมัวทั้งสองข้าง ซึ่งมีหยาดน้ำแห่งความมึนเมาเอ่อคลอ

“ดินประสิวรึ?” มันถามในที่สุด

“ดินประสิว” ข้าตอบ “ท่านไอเช่นนี้มานานเท่าใดแล้ว?”

“แค่ก! แค่ก! แค่ก!—แค่ก! แค่ก! แค่ก!—แค่ก! แค่ก! แค่ก!”

สหายผู้น่าสงสารของข้าไม่อาจเอ่ยคำตอบได้เป็นเวลาหลายนาที

“ไม่เป็นไร” ในที่สุดมันก็กล่าวออกมา

“มาเถิด” ข้ากล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “เรากลับกันดีกว่า สุขภาพของท่านล้ำค่านัก ท่านร่ำรวย เป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่ชื่นชม เป็นที่รัก ท่านมีความสุข ดังที่ข้าเคยเป็น ท่านเป็นบุรุษที่ใคร ๆ ก็อาลัยหา สำหรับข้าแล้วไม่สำคัญ เรากลับกันเถิด ท่านจะป่วย และข้าไม่อาจรับผิดชอบได้ อีกอย่าง ยังมีลูเครซี—”

“พอแล้ว” มันกล่าว “อาการไอนี้เล็กน้อยนัก มันไม่ทำให้ข้าตายหรอก ข้าจะไม่ตายเพราะอาการไอ”

“จริง—จริง” ข้าตอบ “และตามจริง ข้าก็มิได้ตั้งใจจะทำให้ท่านตระหนกโดยไม่จำเป็น—แต่ท่านควรจะระมัดระวังตัวให้มาก เมด็อคสักจิบจะช่วยป้องกันเราจากความชื้นแฉะได้”

ว่าแล้วข้าก็เคาะคอขวดไวน์ที่ดึงออกมาจากแถวยาวเหยียดของขวดอื่น ๆ ที่วางเรียงรายอยู่บนพื้นรา

“ดื่มเถิด” ข้ากล่าว พลางยื่นไวน์ให้มัน

มันยกขวดขึ้นจรดริมฝากพร้อมกับยิ้มเยาะ มันหยุดชั่วครู่และพยักหน้าให้ข้าอย่างคุ้นเคย ขณะที่กระดิ่งของมันส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง

“ข้าดื่ม” มันกล่าว “ให้กับผู้ล่วงลับที่พักผ่อนอยู่รายรอบเรานี้”

“และข้าดื่มให้กับชีวิตที่ยืนยาวของท่าน”

มันจับแขนข้าอีกครั้ง และเราก็เดินทางต่อไป

“สุสานใต้ดินเหล่านี้” มันกล่าว “ช่างกว้างขวางนัก”

“ตระกูลมอนเตรซอร์” ข้าตอบ “เคยเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่และมีผู้คนมากมาย”

“ข้าลืมตราประจำตระกูลของท่านไปเสียแล้ว”

“รูปฝ่าเท้ามนุษย์ขนาดมหึมาสีทองอร่าม บนพื้นตราสีคราม ฝ่าเท้านั้นกำลังขยี้อสรพิษที่ชูคอแผ่แม่เบี้ย เขี้ยวของมันฝังลึกอยู่ในส้นเท้า”

“แล้วคำขวัญเล่า?”

Nemo me impune lacessit” (ไม่มีใครล่วงละเมิดข้าได้โดยไม่ต้องรับโทษ)

“เยี่ยม!” มันกล่าว

ประกายไวน์ระยิบระยับในดวงตาของมัน และกระดิ่งก็ส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง จินตนาการของข้าเองก็เริ่มร้อนแรงขึ้นด้วยฤทธิ์เมรัย เราได้เดินผ่านกำแพงที่ก่อขึ้นจากกองกระดูก สลับกับถังคาสก์และถังไวน์ขนาดใหญ่ เข้าไปสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของสุสานใต้ดิน ข้าหยุดอีกครั้ง และครานี้ข้าอาจหาญพอที่จะฉวยแขนของฟอร์ตูนาโตไว้เหนือข้อศอก

“ดินประสิว!” ข้ากล่าว “ดูสิ มันเพิ่มมากขึ้น มันห้อยย้อยลงมาจากเพดานเหมือนกับมอสส์ เราอยู่ใต้ท้องแม่น้ำแล้ว หยดความชื้นกำลังหยดติ๋ง ๆ ลงมาท่ามกลางกองกระดูก มาเถิด เรากลับกันก่อนที่จะสายเกินไป อาการไอของท่าน—”

“ไม่เป็นไร” มันกล่าว “ไปกันต่อเถิด แต่ก่อนอื่น ขอเมด็อคอีกสักจิบ”

ข้าเปิดขวดไวน์เดอเกรฟส์ยื่นให้มัน มันกระดกจนหมดสิ้นในอึดใจเดียว ดวงตาของมันสาดประกายเจิดจ้า มันหัวเราะแล้วโยนขวดขึ้นไปในอากาศด้วยท่วงท่าที่ข้าไม่เข้าใจ

ข้ามองมันด้วยความประหลาดใจ มันทำท่าเดิมซ้ำอีก—เป็นท่าที่พิลึกพิลั่น

“ท่านไม่เข้าใจรึ?” มันถาม

“ไม่เลย” ข้าตอบ

“ถ้าเช่นนั้น ท่านก็มิใช่คนในภราดรภาพ”

“ว่ากระไรนะ?”

“ท่านมิใช่พวกเมสัน”

“ใช่ ใช่” ข้ากล่าว “ใช่แล้ว”

“ท่านรึ? เป็นไปไม่ได้! ท่านเป็นเมสัน?”

“เมสัน” ข้าตอบ

“สัญลักษณ์” มันกล่าว “แสดงสัญลักษณ์สิ”

“นี่อย่างไร” ข้าตอบ พลางดึงเกรียงฉาบปูนออกมาจากใต้รอยพับของเสื้อคลุม

“ท่านล้อเล่น” มันอุทาน พลางถอยหลังไปสองสามก้าว “แต่ไปต่อกันเถิด…ไปหาอามอนติลลาโด”

“ตามนั้น” ข้ากล่าว พลางเก็บเครื่องมือไว้ใต้เสื้อคลุมแล้วยื่นแขนให้มันอีกครั้ง มันทิ้งน้ำหนักลงมาอย่างหนักหน่วง เราเดินทางต่อไปเพื่อค้นหาอามอนติลลาโด เราเดินผ่านซุ้มประตูโค้งเตี้ย ๆ หลายแห่ง เดินลงไป เดินต่อไป แล้วก็เดินลงไปอีก จนกระทั่งถึงสุสานใต้ดินที่ลึกที่สุด ซึ่งความอับของอากาศทำให้คบเพลิงในมือเราส่องแสงเรือง ๆ แทนที่จะลุกโชน

ณ ปลายสุดของสุสานนั้น ปรากฏมีห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งเล็กกว่า ผนังของมันเรียงรายไปด้วยซากโครงกระดูกมนุษย์ กองสูงขึ้นไปจรดเพดานห้องโค้ง เช่นเดียวกับสุสานใต้ดินอันยิ่งใหญ่แห่งปารีส ผนังสามด้านของห้องด้านในนี้ยังคงประดับประดาไว้เช่นเดิม ส่วนผนังด้านที่สี่นั้น กองกระดูกได้ถูกรื้อลงมา และนอนระเกะระกะอยู่บนพื้นดิน ก่อตัวขึ้นเป็นเนินหย่อมหนึ่ง ณ จุดหนึ่ง ภายในผนังที่เผยออกมาจากการรื้อกองกระดูกนั้น เรามองเห็นช่องเว้าลึกเข้าไปอีก ความลึกประมาณสี่ฟุต กว้างสามฟุต และสูงหกหรือเจ็ดฟุต ดูเหมือนมันจะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ใช้สอยใดเป็นพิเศษ แต่เป็นเพียงช่องว่างระหว่างเสาค้ำยันขนาดมหึมาสองต้นของเพดานสุสาน และมีกำแพงหินแกรนิตตันเป็นผนังด้านหลัง

เปล่าประโยชน์ที่ฟอร์ตูนาโตจะชูคบเพลิงที่ริบหรี่ของมันขึ้น พยายามสอดส่องเข้าไปในความลึกของช่องเว้านั้น แสงอันน้อยนิดมิอาจทำให้เรามองเห็นจุดสิ้นสุดของมันได้

“เข้าไปสิ” ข้ากล่าว “อามอนติลลาโดอยู่ในนี้แหละ ส่วนลูเครซี—”

“มันเป็นไอ้โง่เง่า” สหายข้าขัดจังหวะ ขณะที่มันก้าวไปข้างหน้าอย่างโซเซ โดยมีข้าตามติดอยู่เบื้องหลัง ในชั่วพริบตา มันก็ไปถึงสุดปลายของช่องเว้า และเมื่อพบว่าทางไปต่อถูกขวางกั้นด้วยโขดหิน มันก็หยุดยืนงงงันอย่างสิ้นคิด อีกเพียงชั่วอึดใจ ข้าก็ได้ล่ามโซ่มันไว้กับหินแกรนิต บนพื้นผิวของมันมีห่วงเหล็กสองอัน อยู่ห่างกันราวสองฟุตในแนวนอน จากห่วงหนึ่งมีโซ่สั้น ๆ ห้อยลงมา จากอีกห่วงหนึ่งมีแม่กุญแจ ข้าพาดสายโซ่รอบเอวของมัน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็จัดการล่ามมันได้สำเร็จ มันตกตะลึงพรึงเพริดจนมิอาจขัดขืน ข้าดึงกุญแจออกแล้วก้าวถอยออกมาจากช่องเว้า

“ลองใช้มือของท่านลูบไปตามผนังสิ” ข้ากล่าว “ท่านจะสัมผัสได้ถึงดินประสิวอย่างแน่นอน อันที่จริง มันชื้นมากทีเดียว ข้าขอวิงวอนท่านอีกครั้งให้กลับไป ไม่รึ? ถ้าเช่นนั้น ข้าคงต้องทิ้งท่านไว้ที่นี่อย่างแน่นอน แต่ก่อนอื่น ข้าต้องปรนนิบัติท่านเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่ข้าจะทำได้”

“อามอนติลลาโด!” สหายข้าอุทาน ยังไม่หายจากอาการตกตะลึง

“จริง” ข้าตอบ “อามอนติลลาโด”

ขณะที่กล่าวคำเหล่านี้ ข้าก็ง่วนอยู่กับการรื้อกองกระดูกที่ได้กล่าวถึงไปแล้วก่อนหน้านี้ พอรื้อกระดูกออกไป ข้าก็พบหินก่อสร้างและปูนจำนวนหนึ่งในไม่ช้า ด้วยวัสดุเหล่านี้และด้วยความช่วยเหลือจากเกรียงฉาบปูน ข้าก็เริ่มลงมือก่อกำแพงปิดทางเข้าช่องเว้านั้นอย่างแข็งขัน

ข้าเพิ่งจะวางหินแถวแรกเสร็จสิ้น ก็พบว่าอาการมึนเมาของฟอร์ตูนาโตได้สร่างลงไปมากแล้ว สัญญาณแรกที่ข้าสังเกตได้คือเสียงครวญครางต่ำ ๆ จากส่วนลึกของช่องเว้านั้น มันมิใช่เสียงร้องของคนเมา จากนั้นก็เกิดความเงียบงันอันยาวนานและดื้อรั้น ข้าวางหินแถวที่สอง แถวที่สาม และแถวที่สี่ แล้วก็ได้ยินเสียงโซ่ที่สั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง เสียงนั้นดังอยู่หลายนาที ซึ่งในระหว่างนั้น เพื่อที่ข้าจะได้ฟังมันอย่างพึงพอใจยิ่งขึ้น ข้าจึงหยุดงานของตนและนั่งลงบนกองกระดูก เมื่อเสียงโซ่สงบลงในที่สุด ข้าก็หยิบเกรียงขึ้นมาอีกครั้ง และก่อกำแพงแถวที่ห้า ที่หก และที่เจ็ดจนเสร็จสิ้นโดยไม่มีการหยุดชะงัก บัดนี้กำแพงสูงขึ้นมาเกือบจะถึงระดับอกของข้าแล้ว ข้าหยุดอีกครั้ง และชูคบเพลิงขึ้นเหนือแนวกำแพง สาดลำแสงอันอ่อนแรงเพียงไม่กี่สายไปยังร่างที่อยู่เบื้องใน

เสียงกรีดร้องอันดังและแหลมสูงหลายระลอกที่ระเบิดออกมาจากลำคอของร่างที่ถูกล่ามโซ่ ดูเหมือนจะผลักข้าถอยหลังอย่างรุนแรง ชั่วขณะสั้น ๆ ข้าลังเล—ตัวสั่นเทา ข้าชักดาบเรเปียร์ออกมา แล้วเริ่มใช้มันคลำไปรอบ ๆ ช่องเว้า แต่ความคิดชั่วแล่นหนึ่งก็ทำให้ข้ามั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง ข้าวางมือลงบนโครงสร้างอันแข็งแกร่งของสุสาน และรู้สึกพึงพอใจ ข้ากลับเข้าไปใกล้กำแพงอีกครั้ง ข้าตอบโต้เสียงโห่ร้องของมันผู้กำลังโวยวาย ข้าส่งเสียงสะท้อน—ข้าช่วยเสริม—ข้าตะโกนให้ดังและทรงพลังยิ่งกว่ามัน ข้าทำเช่นนี้ และผู้โวยวายก็เงียบเสียงลง

บัดนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว และงานของข้าก็ใกล้จะเสร็จสิ้น ข้าก่อแถวที่แปด ที่เก้า และที่สิบเสร็จแล้ว ข้าก่อแถวสุดท้ายคือแถวที่สิบเอ็ดเสร็จไปส่วนหนึ่ง เหลือเพียงหินก้อนสุดท้ายที่จะต้องใส่เข้าไปแล้วฉาบปูนทับ ข้าพยายามต่อสู้กับน้ำหนักของมัน ข้าวางมันลงในตำแหน่งที่กำหนดไว้ได้เพียงบางส่วน แต่แล้วก็มีเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ดังออกมาจากช่องเว้านั้น ทำให้ข้าขนหัวลุกชัน ตามมาด้วยน้ำเสียงอันเศร้าสร้อย ซึ่งข้าแทบจะจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของฟอร์ตูนาโตผู้สูงศักดิ์ น้ำเสียงนั้นกล่าวว่า—

“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!—ฮี่! ฮี่! ฮี่!—เป็นการเล่นตลกที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ—เป็นเรื่องล้อเล่นที่วิเศษนัก เราคงจะได้หัวเราะกันอีกหลายครั้งเรื่องนี้ที่คฤหาสน์—ฮี่! ฮี่! ฮี่!—พร้อมกับไวน์ของเรา—ฮี่! ฮี่! ฮี่!”

“อามอนติลลาโด!” ข้ากล่าว

“ฮี่! ฮี่! ฮี่!—ฮี่! ฮี่! ฮี่!—ใช่แล้ว อามอนติลลาโด แต่นี่มันยังไม่ดึกไปหน่อยรึ? พวกเขาจะไม่รอเราอยู่ที่คฤหาสน์หรือ ท่านหญิงฟอร์ตูนาโตและคนอื่น ๆ? เราไปกันเถิด”

“ใช่” ข้ากล่าว “เราไปกันเถิด”

“เห็นแก่พระผู้เป็นเจ้าเถิด, มอนเตรซอร์!”

“ใช่” ข้ากล่าว “เห็นแก่พระผู้เป็นเจ้า!”

แต่หลังจากคำพูดเหล่านี้ ข้าก็เฝ้ารอฟังคำตอบอย่างเปล่าประโยชน์ ข้าเริ่มหมดความอดทน ข้าร้องเรียกเสียงดัง—

“ฟอร์ตูนาโต!”

ไม่มีคำตอบ ข้าร้องเรียกอีกครั้ง—

“ฟอร์ตูนาโต—”

ยังคงไม่มีคำตอบ ข้าสอดคบเพลิงเข้าไปในช่องที่ยังเหลืออยู่ แล้วปล่อยให้มันตกลงไปข้างใน มีเพียงเสียงกระดิ่งที่กรุ๋งกริ๋งตอบกลับมา หัวใจของข้าเริ่มรู้สึกเจ็บป่วยเพราะความชื้นแฉะของสุสาน ข้ารีบเร่งทำงานให้เสร็จสิ้น ข้าดันหินก้อนสุดท้ายเข้าที่ แล้วฉาบปูนทับ ข้าก่อกำแพงกระดูกเก่าขึ้นมาใหม่พิงกับกำแพงที่เพิ่งสร้างเสร็จ เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษแล้วที่ไม่มีมรรตัยชนผู้ใดมารบกวนมัน In pace requiescat! (จงไปสู่สุขคติ!)