บทสนทนาว่าด้วยการตีความ
เมื่อวานมิ้งมาหา แล้วจู่ๆ ก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วพูดประมาณว่า “พี่อ่านแต่อะไรแบบนี้ อะไรเนี่ย ‘ทารุณนิทาน’*”
ผมก็เลยบอกว่า “มิ้งก็ลองเปิดอ่านดูสิ” มิ้งก็เลยลองอ่าน ผมบอกให้อ่านออกเสียงด้วย เดี๋ยวผมช่วยอธิบายถ้างง มิ้งอ่านไปหนึ่งหน้าก็บอก “เฮ้ย น่าสนุก” แต่พอขึ้นหน้าสองเท่านั้นแหละ มิ้งบอก “อะไรวะ ไม่เห็นรู้เรื่อง”
ผมก็เลยบอก งั้นเดี๋ยวพี่อ่านให้ฟัง มิ้งเลยส่งหนังสือมาให้ผม ผมเปิดสุ่มๆ เลือกมาหนึ่งเรื่อง จริงๆ เล่มนี้ผมยังอ่านไม่หมด ผมเลือกเรื่องที่ผมไม่เคยอ่าน จะได้เป็นการเริ่มจากศูนย์เหมือนกันทั้งผมและมิ้ง
ผมเลือกอ่านเรื่องสั้นชื่อ คลับคลา (1875)
เรื่องสั้นขึ้นต้นด้วยข้อความจาก ชาร์ลส์ โบดแลร์
“ใครเล่าจะคิดฝัน ว่านัยน์ตาดวงมืดของพวกมันกวาดสู่หนใด”
ผมก็อ่านไปเรื่อยๆ อาจจะมีติดขัดบ้างเพราะเป็นหนังสือแปลจากฝรั่งเศส ผมไม่คุ้นกับสำนวนแปลแบบนี้
เป็นเรื่องราวของตัวเอกที่กำลังรีบเดินทางไปเจรจาธุรกิจแต่ติดฝน จึงเข้าไปหลบในตึก ตึกหนึ่งเข้าไปแล้วถึงรู้ว่ามันเป็นโรงเก็บศพ คนนอนตายเกลื่อน
ในหนังสือบรรยายว่า:
ภายในห้องมีเสาแขวนเสื้อคลุม หมวก และผ้าพันคอ มีโต๊ะหินอ่อนวางประทับกับพื้น มีผู้คนนอนแผ่หลา ศีรษะเชิดขึ้น ขณะที่ดวงตานั้นเบิกจ้อง สีหน้าดูแล้วไม่มองอะไรไกลไปกว่าที่เห็น และสายตาพวกเขานั้นปลอดวี่แววความคิด ใบหน้าพวกเขานั้นสีเดียวกันกับอากาศ ข้างตัวแต่ละคนยังมีแฟ้มเอกสารกางอ้า และมีกระดาษคละๆ คลี่ๆ
จากนั้นรถโดยสารมาจอด เขาก็ขึ้นไปเพื่อไปยัง ปาสสาจ เดอ โลเปร่า เพื่อไปเจรจาธุรกิจ แต่พอไปถึงก็ปรากฏว่าในร้านกาแฟมันเป็นฉากเดียวกับโรงเก็บศพ
ภายในห้องมีเสาแขวนเสื้อคลุม หมวก และผ้าพันคอ มีโต๊ะหินอ่อนวางประทับกับพื้น มีผู้คนนอนแผ่หลา ศีรษะเชิดขึ้น ขณะที่ดวงตานั้นเบิกจ้อง สีหน้าดูแล้วไม่มองอะไรไกลไปกว่าที่เห็น ต่างคล้ายกำลังจดจ่อในความนิ่งนึก และใบหน้าพวกเขานั้นสีเดียวกันกับอากาศ สายตาพวกเขานั้นปราศจากความคิด ข้างตัวแต่ละคนยังมีแฟ้มเอกสารกางอ้า และมีกระดาษคละๆ คลี่ๆ
- จบ -
มิ้งทำหน้างงแล้วถามว่า “แล้วไงต่อ?”
จริง ๆ ผมก็งงว่ามันจบแค่นี้หรอ ผมพอเดาได้ว่าวีลิเยรส์จะสื่ออะไร
ผมตอบไปว่า มันเป็นเรื่องสั้นเชิงสัญลักษณ์ ต้องตีความเอง บางทีก็ต้องรู้บริบทช่วงที่ผู้เขียนแต่งด้วย ผมก็ลองตีความให้มิ้งฟัง ยกตัวอย่างให้ฟังว่าถ้าสมมติผมจะเขียนเรื่องสั้น ผมก็จะไม่เขียนตรงๆ ผมจะเขียนเป็นสัญลักษณ์ดึงมันออกจากบริบท แต่คนที่อยู่ในบริบทนั้นๆ จะเชื่อมโยงได้เอง มิ้งก็เริ่มจะเข้าใจว่าแต่ละคนตีความไม่เหมือนกัน ผมบอก ใช่ นี่แหละงานศิลปะแนวสัญลักษณ์นิยม ไม่มีถูกไม่มีผิด ขึ้นอยู่กับผู้อ่านแต่ละคน
มิ้งบอกว่าหนังสือที่มิ้งอ่านมันจะตรงๆ อ่านแล้วเข้าใจเลยว่าใครทำอะไร ที่ไหน เพื่ออะไร จริงๆ ผมก็อ่านหนังสือที่มันตรงๆ ตามตัวอักษร แต่หนังสือหลายเล่มมันก็จะมีหลายชั้นเหมือนต้นไม้ มีเปลือก มีเนื้อไม้ มีแก่นไม้ มันอาจจะมีสิ่งที่ไม่ได้บอกตรงๆ แต่สื่อเป็นนัย หรือเปิดพื้นที่ให้คนอ่านขยายความเอง
*หนังสือเล่มที่ว่าชื่อ ทารุณนิทาน : สรรนิพนธ์ Contes Cruels เขียนโดย ออกุสต์ วีลิเยรส์ เดอะ ลีส์-ลด็อง