Where thoughts connect and life unfolds.

ปรสิตล่องหน: ความจริงนอกประสาทสัมผัส

ความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจับจ้อง ทั้งที่อยู่เพียงลำพัง หรือข้าวของเครื่องใช้บางอย่างขยับตำแหน่งไปเอง ความรู้สึกเช่นนี้คือลักษณะของเรื่องสั้นหลอนประสาท “ปรสิตล่องหน” (Le Horla) โดย กี เดอ โมปาสซ็อง

เรื่องสั้นชิ้นนี้สำรวจความวิปลาส ตั้งคำถามต่อประสาทสัมผัส และปูทางให้ ‘สยองขวัญคอสมิก’ ก่อนยุคเลิฟคราฟท์

บันทึกของคนบ้า หรือการค้นพบสปีชีส์ใหม่?

เรื่องเล่าผ่านบันทึกของชายผู้มั่งคั่งซึ่งมีชีวิตสมบูรณ์พร้อม แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลายลง เขาเริ่มนอนไม่หลับ ฝันร้ายว่ามีบางสิ่งคร่อมทับอกและดูดเอาชีวิตไป เขาจึงทำการทดลองเชิงประจักษ์ เช่น วางเหยือกน้ำในห้องปิดตายก่อนนอน แต่พอตื่นน้ำกลับหายไป การทดลองเหล่านี้บีบให้เขาต้องยอมรับความจริงที่น่าพรั่นพรึงว่า ประสาทสัมผัสของมนุษย์นั้นช่างมีขีดจำกัด

สิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นนี้ช่างลึกล้ำเสียจริง! เราไม่อาจวัดความลึกล้ำได้ด้วยประสาทสัมผัสอันน่าเวทนาของเรา ด้วยสายตาที่ไม่อาจรับรู้สิ่งที่เล็กเกินไป ใหญ่เกินไป ใกล้เกินไป ไกลเกินไป… หูเรานั้นทำให้เราเข้าใจผิด เพราะหูรับการสั่นไหวของอากาศ แปลงเป็นโน้ตเสียงต่างๆ… ส่วนประสาทรับกลิ่นของเราก็ด้อยกว่าของสุนัขเสียอีก

ลมมีอยู่จริง แต่เรามองไม่เห็น

ในเรื่อง ตัวเอกได้สนทนากับนักบวชเพื่อหาคำตอบให้สิ่งที่เขากำลังเผชิญ ซึ่งบทสนทนานี้ได้ตอกย้ำแนวคิดเรื่องการมีอยู่ของสิ่งที่มองไม่เห็น

พวกเราเคยเห็นเศษหนึ่งส่วนแสนของสิ่งมีชีวิตไหม ลมนี่ไง พลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่สุด พัดให้มนุษย์ล้มลงได้ ทำลายตึกรามบ้านช่อง… ลมที่ทั้งฆ่าคน ส่งเสียงหวีดหวิว ครวญคราง และคำรามน่ะ ลูกเคยเห็นลมไหม แล้วลูกเห็นลมได้ไหม กระนั้นลมก็มีอยู่จริง

อำนาจที่มองไม่เห็น: ฉากสะกดจิตอันน่าพรั่นพรึง

อีกฉากที่ตอกย้ำความหวาดหวั่นของตัวเอก คือตอนที่เขาไปดูการสะกดจิตที่ปารีส เขาได้เห็นคนธรรมดาถูกชี้นำให้เชื่อว่ากระดาษแผ่นหนึ่งคือกระจก และทำตามคำสั่งอย่างไร้ข้อกังขา เหตุการณ์นี้สะท้อนความสนใจและความหวาดกลัวของสังคมในยุคนั้นต่อศาสตร์ใหม่อย่างการสะกดจิต และมันก็ทำให้ตัวเอกต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า หรือจิตใจของเขาเองก็กำลังถูก ‘บางสิ่ง’ ควบคุมอยู่เช่นกัน

กระจกที่ไม่สะท้อนภาพ และความหมายของ “ออร์ลา”

ฉากสำคัญคือตอนที่ตัวเอกลุกขึ้นกลางดึกเพื่อจับ “มัน” แต่เมื่อมองกระจกกลับไม่เห็นเงาสะท้อนของตนเอง ราวกับว่า “สิ่งนั้น” ที่คั่นระหว่างเขากับกระจกได้กลืนกินตัวตนของเขาไปแล้ว

ชื่อเรื่อง “Le Horla” เป็นคำที่โมปาสซ็องประดิษฐ์ขึ้น คาดว่ามาจากการผสมคำว่า “hors” (ข้างนอก) และ “là” (ที่นั่น) ซึ่งอาจแปลได้ว่า “The Outsider” หรือ “ตัวตนจากภายนอก” ชื่อเรื่องจึงสื่อถึงสิ่งแปลกปลอมและภัยคุกคามจากโลกอื่น

ไม่ใช่ผี แต่คือวิวัฒนาการขั้นต่อไป

เมื่อการทดลองทั้งหมดชี้ไปในทิศทางเดียวกัน ตัวเอกจึงได้ข้อสรุปอันน่าสะพรึงกลัวที่สุด มันไม่ใช่ผีสางหรือความวิปลาส แต่คือการมาถึงของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ที่อยู่เหนือกว่ามนุษย์

“ออร์ลา” ไม่ใช่ผี แต่เป็น “สิ่งมีชีวิต” สายพันธุ์ใหม่ที่มีกายเนื้อ แต่กายเนื้อนั้น “โปร่งใส” เกินกว่าประสาทสัมผัสของมนุษย์จะรับรู้ได้

นี่คือจุดเปลี่ยนจากสยองขวัญแบบผีสางไปสู่ความสยองขวัญคอสมิก “ออร์ลา” คือตัวแทนของวิวัฒนาการขั้นต่อไปที่มาเพื่อยึดครองโลก และมนุษย์ก็เป็นได้เพียงผู้ถูกล่า

ความจริงอันน่าเศร้า: ปรสิตในชีวิตจริงของผู้เขียน

ความน่ากลัวของเรื่องนี้ทวีขึ้นเมื่อทราบว่าชีวิตจริงของโมปาสซ็องไม่ได้ต่างกัน ช่วงท้ายของชีวิต เขาต้องทุกข์ทรมานจากโรคซิฟิลิสที่ทำลายระบบประสาท ทำให้เกิดอาการภาพหลอนและหวาดระแวง “ออร์ลา” จึงอาจไม่ใช่เพียงจินตนาการ แต่เป็นภาพสะท้อนของ “ปรสิต” ที่มองไม่เห็น (เชื้อโรค) ซึ่งกัดกินร่างกายและจิตใจของเขาจากภายใน

เรื่องสั้นนี้ตีพิมพ์ในปี 1887 และไม่กี่ปีหลังจากนั้น โมปาสซ็องก็พยายามฆ่าตัวตายและจบชีวิตลงในโรงพยาบาลจิตเวช จุดจบของเรื่องราวและชีวิตจริงจึงซ้อนทับกันอย่างน่าสะพรึง

แฟนเอช.พี. เลิฟคราฟท์ไม่ควรพลาด—เค้าโครงแนวคอสมิกชัดมาก ทั้งแนวคิดเรื่องสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจ ความจริงอันน่าสะพรึงเกินกว่าสติปัญญาจะรับไหว และสถานะอันต่ำต้อยของมนุษย์ในจักรวาล ล้วนปรากฏอยู่ในงานของโมปาสซ็องแล้ว

“ปรสิตล่องหน” เป็นมากกว่าเรื่องสยองขวัญ แต่เป็นวรรณกรรมที่ตั้งคำถามสำคัญซึ่งยังคงร่วมสมัย:

  • เราเชื่อประสาทสัมผัสของตนเองได้เพียงใด?
  • เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับความวิปลาสอยู่ตรงไหน?
  • และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมนุษย์ต้องยอมรับว่าตนไม่ใช่อันดับสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอีกต่อไป?

อ่านจบแล้วอดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่เราว่า ‘ไม่มี’ อาจอยู่ตรงหน้าเรามาตลอด — หรือกลับกัน สิ่งที่เราคิดว่า ‘มี’ อาจเป็นเพียงภาพหลอนจากความเจ็บป่วยเท่านั้น

ปล. ‘ปรสิตล่องหนและเรื่องสั้นสั่นประสาทของโมปาสซ็อง’ หนังสือรวมเรื่องสั้น 7 เรื่องของโมปาสซ็อง แต่เรื่องที่เด่นที่สุดคือ ‘ปรสิตล่องหน’ ซึ่งในเล่มได้ตีพิมพ์ไว้ถึงสองฉบับ

การได้อ่านเทียบกันทำให้เห็นพัฒนาการและรายละเอียดที่โมปาสซ็องเพิ่มเติมเข้ามา โดยเฉพาะมุมมองการเล่าเรื่องที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ฉบับแรกเล่าผ่านมุมมองของนายแพทย์ แต่ฉบับที่สองซึ่งผมจะพูดถึงนี้ อยู่ในรูปแบบบันทึกส่วนตัว กลวิธีการเล่าที่ต่างกันได้สร้างอารมณ์ของเรื่องที่แตกต่างกันอย่างมาก

จุดเด่นของฉบับนี้คือการใช้ unreliable narrator (ผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้) ซึ่งเป็นกลวิธีที่ผมชอบเป็นพิเศษ เพราะมันทำให้เราในฐานะผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเชื่อทุกอย่างที่ตัวละครเขียน