Where thoughts connect and life unfolds.

เรื่องสั้น:ไฟ

คำชี้แจง: เรื่องสั้นนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นทั้งหมด ตัวละครและเหตุการณ์ที่อ้างถึงไม่มีอยู่จริง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องสั้น: บันทึกดับไฟ

3 กรกฎาคม

อีก 45 วันนับจากนี้ อาศรมกลางหุบเขาคือโลกทั้งใบของผม ห้องพักไม้หลังที่สี่สิบสองคือจุดสุดท้ายก่อนอาณาบริเวณจะละลายหายไปในป่า เสียงจักจั่นกรีดร้องซ้ำๆ ในความชื้น กลิ่นดินและดอกไม้ป่าที่ไร้ชื่อหนักอึ้งอยู่ในอากาศ อุปกรณ์สื่อสารถูกริบ เหลือเพียงสมุดเล่มนี้กับปากกาด้ามหนึ่ง

คุรุกล่าวว่า “ตัดขาดจากโลกภายนอก เพื่อสำรวจโลกภายใน” สำหรับผม นี่คือการเดินตามรอยทุกข์ที่คุณทิ้งไว้ ภาพของคุณจากโลกใบเก่ายังไม่จางหาย โลกที่แสงตกกระทบร่างคุณแล้วทำให้บุรุษแทบหยุดหายใจ แต่น่าเศร้า ที่ลมหายใจเหล่านั้นมักเจือด้วยคำลวง รอยยิ้มของคุณดับลงในวันนั้น วันที่คุณถูกเชยชมร่างและลวงใจโดยชายผู้มีเจ้าของ คุณหนีความจริงมาที่นี่ ส่วนผมหนีความจริงที่ว่าผมไม่ได้ครอบครองคุณ

ยามเย็น ผมเห็นคุณ ‘โยคีทราย’ ฝึกอาสนะบนลานหิน ร่างกายของคุณเคลื่อนไหวในท่วงท่าที่ผมไม่รู้จัก แต่กลับเข้าใจได้หัวใจ หยาดเหงื่อเปล่งประกายบนผิว คุณคือจันทร์เต็มดวง ส่วนผมคือแมลงเม่าที่ยอมตายในลำแสงนั้น ผมมาที่นี่เพื่อดับเพลิงในตัวเอง เชื้อไฟที่ยังคุโชนทุกครั้งที่ภาพคุณปรากฏ


5 กรกฎาคม

ความเงียบมีเสียง เลือดไหลวนในหู ข้อกระดูกลั่น และเสียงในหัวที่บดขยี้ชื่อ “ทราย” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การรวมสมาธิให้เป็นหนึ่งยากเย็นดุจการควบม้าที่ไร้บังเหียน ผมมีเพียงแส้เฆี่ยนตีมันไร้ทิศทาง หน้าโรงอาหารมีประกาศกระดาษแผ่นใหญ่ติดบอร์ดว่า “หลัง 20.00 ห้ามอยู่ลำพังสองต่อสอง ฝ่าฝืนเชิญออกจากอาศรม” ผมอ่านแล้วหัวเราะเบาๆ กฎกายภาพกั้นอิสระของจิตไม่ได้

เช้าในโรงอาหารรวม คุณเดินมาพร้อมถ้วยผลไม้ในมือแล้วยื่นให้ผม ปลายนิ้วอุ่นเฉียดผิว ผมสะดุ้งจนคุณชะงักไปเล็กน้อย “ขอโทษค่ะ พอดีเห็นว่าคุณยังไม่มี” คุณพูดด้วยน้ำเสียงปกติ พร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ดูเป็นการรักษามารยาท ก่อนจะเดินจากไปเพื่อไปนั่งอีกฝั่งของโรงอาหาร ประโยคธรรมดาที่ไม่ได้ธรรมดาเลย ‘พอดีเห็นว่าคุณยังไม่มี’ คือการรับรู้ถึงความว่างเปล่าของผมในตอนนั้น คำขอโทษของคุณคือการยอมรับอย่างสุภาพว่าการกระทำของคุณนั้นส่งผลต่อผมอย่างรุนแรง


8 กรกฎาคม

ป่าขยายประสาทสัมผัส ผมได้ยินเสียงมดเดินใต้พื้นไม้ แต่กลับพยายามเงี่ยหูฟังเสียงลมหายใจของคุณที่อาจอยู่ห่างออกไป ใบไม้ไหวเป็นรหัสลับที่ผมพยายามถอดความ ลายไม้บนผนังในยามโพล้เพล้บิดเบี้ยวเป็นอสูร เป็นเทวดา และบ่อยครั้งเป็นใบหน้าคุณ รอยยิ้มนั้นพร่าเลือน แต่แผดเผา ผมนั่งนิ่งจิตตั้งมั่น ก่อร่างสมาธิ จนรู้สึกได้กำลังแห่งจิต ผมทึ่งในกลไกของจิตที่สามารถฉายภาพนรกและสวรรค์ได้ในเวลาเดียวกัน


10 กรกฎาคม

ในห้องพักมีเอกสารคู่มือปฏิบัติธรรมฉบับสมบูรณ์วางอยู่ เป็นการวิเคราะห์อาณาปานสติอย่างละเอียดลึกซึ้ง ภาษาเคร่งขรึมและเป็นวิชาการ ผมพลิกไป-มา ขีดเส้นใต้คำว่า “ปีติ” และ “สุข” หนาๆ แล้วเขียนดินสอกำกับข้างบรรทัดว่า “เมื่อกายใจสอดประสาน ปีติสุขก็พรั่งพรู” จากนั้นวางไว้ข้างเตียง ให้ทฤษฎีค่อยๆ ตามประสบการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่


12 กรกฎาคม

หลังอาศรมริมธาร ผมเห็น โยคินีน้ำ กับ โยคีดิน หยอกล้อกัน แต่พวกเขาไม่ใช่คู่เดียว ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ผมสังเกตเห็นปฏิสัมพันธ์ที่คล้ายกันในมุมอื่นของอาศรม มีทั้งเป็นกลุ่ม ทั้งเป็นคู่ สายตาที่สบกันยาวนานเกินจำเป็น การกระซิบในโรงอาหาร การเดินหายเข้าไปในราวป่าด้วยกันเป็นคู่ๆ ในยามโพล้เพล้ ในชั่วแรกผมรู้สึกแปลกแยก แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แทรกซึมเข้ามา หรือนี่คือวิถีของที่นี่ วิถีที่ต้องเรียนรู้เพื่อที่จะสนทนากับคุณ


13 กรกฎาคม

วันนี้โยคินีน้ำฝึกโยคะคู่กับคุณ กายทั้งสองเข้าใกล้เพื่อจัดแนว มือของโยคินีน้ำประคองเชิงสะโพกของคุณให้โค้งรับในองศาที่ถูกต้อง ภาพนั้นงดงามราวฝัน แต่ในอกผมกลับมีบางสิ่งถูกจุดขึ้น ผมจ้องมองปลายนิ้วทั้งห้าที่กดลงบนความโค้งนั้น จินตนาการถึงรอยบุ๋มจางๆ ที่ทิ้งไว้บนผิวเนื้อ, การเก็งตัวของกล้ามเนื้อใต้ฝ่ามือนั้น, และความร้อนที่แผ่ซ่านจากจุดสัมผัส ความคิดนั้นร้อนและคมกริบ ผมต่างหากควรเป็นผู้รับรู้น้ำหนักนั้น


14 กรกฎาคม

โยคีชื่อ ไม้ เก็บของจากไป ผมทักทาย เขาตอบเรียบๆ ว่า “ที่นี่ไม่ใช่แนวของผม” ผมยิ้มบางเบาในใจ น่าสงสาร เขาเห็นเพียงเปลือก แต่ไม่เห็นบทเรียนที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวสัมผัสและการหายใจ บทเรียนที่คุณกำลังแสดงให้ผมดูอยู่ทุกวัน


16 กรกฎาคม

วันนี้ผมได้รับอนุญาตให้กลับสู่เมืองเป็นครั้งแรก ผมเดินผ่านอาคารพาณิชย์เก่า ความทรงจำวันหนึ่งผุดขึ้น ผมเคยเข้าอบรม “การเดินทางของจิต” ในห้องประชุมเล็ก อาจารย์สูงวัยนิ่งขรึมบรรยายศักยภาพของจิต ก่อนสาธิตกับอาสาสมัคร วิศวกรคนหนึ่งประกาศกร้าวว่ามาเพื่อจับผิด อาจารย์ให้เขานอนและผ่อนคลาย

“ตอนนี้จิตคุณเป็นอิสระ ลอยขึ้นมามองร่างตัวเอง” เขาบอกว่าเห็นร่างตัวเองและคนทั้งห้อง อาจารย์สั่งให้ไปบ้าน “ถึงแล้ว” เขาตอบ เมื่อถูกถามว่าโต๊ะกลางบ้านมีอะไร เขาว่า “รีโมต หนังสือพิมพ์วันนี้ แก้วกาแฟยังไม่หมด” แล้วถูกถามต่อถึงสิ่งที่ภรรยาเพิ่งวาง “ซองจดหมายสีน้ำตาล ตราของบริษัทบัตรเครดิต” อาจารย์ให้มองต่อที่หน้าประตู ประตูถูกไข ภรรยาเดินเข้ามาพร้อมเพื่อนสนิทของทั้งคู่ เธอฉุดแขนพาเข้าไปห้องนั่งเล่น ปิดม่าน แล้วกอดจูบกันบนโซฟา อาจารย์สั่งให้ถอนกลับสู่ร่าง เขาลืมตา โทรหาภรรยาต่อหน้าเรา พอเธอยืนยันว่ามีซองบัตรเครดิตเพิ่งมาถึง เข่าทรุด ยืนไม่อยู่ เขามาเพื่อจับผิดคนอื่น กลับได้จับผิดภรรยาตัวเอง และเพื่อนที่ไว้ใจที่สุด

ผมออกจากห้องนั้นด้วยความเชื่อใหม่ จิตอาจเดินทางได้ไกลกว่ากาย และความจริงก็โหดร้ายกว่าจินตนาการเสมอ หน้าร้านหนังสือเก่า เล่มหนึ่งดึงดูดสายตาผม “ศาสตร์แห่งจิตคู่ขนาน” ปกเป็นชายหญิงหันหลังชนกัน มีเส้นแสงเชื่อมโยง ผมพลิกอ่าน “เพลิงแฝด” “กระจกเงา” “การตายของอัตตา” ทุกตัวอักษรคือการถอดรหัสสิ่งที่ผมเป็นอยู่ นี่ไม่ใช่ความบังเอิญ ประสบการณ์ในอดีตเป็นเส้นด้ายนำทางผมมาสู่หนังสือเล่มนี้ สิ่งที่ผมรู้สึกกับคุณ ความสับสน ความร้อนรุ่ม มันคือลักษณะของความสัมพันธ์ที่หนังสือเล่าขาน คุณคือกระจกเงาของผม และความปั่นป่วนนี้คือการเติบโต


18 กรกฎาคม

โยคินีอีกคนชื่อ “ลม” รูปร่างสะอาดตา เธอขอเดินด้วยในความมืด ทางเดินข้างหน้าขรุขระและไร้แสงจันทร์ ทันใดนั้นเธอก็สะดุดรากไม้ ร่างของเธอเซเข้ามา และฝ่ามือก็คว้าลงบนแผ่นหลังช่วงล่างของผมเพื่อทรงตัว เป็นการกดน้ำหนักลงมาอย่างเต็มที่และฉับพลัน

“อุ๊ย ขอโทษค่ะ” เธอดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว ผมไม่ได้ตอบ แต่ความร้อนจากฝ่ามือของเธอยังติดอยู่บนผิว สัมผัสนั้นไม่ได้เย็นและว่างเปล่า แต่มันหนักและมีความหมายแฝง มันคือการส่งสารที่จงใจ ไม่ใช่ความผิดพลาด ผมรู้สึกถึงการคำนวณในอุบัติเหตุครั้งนั้น มันคือการทดสอบที่หยาบกระด้าง ต่างจากปลายนิ้วของคุณในเช้าวันนั้นที่บริสุทธิ์ดุจธรรมะ นี่คือกิเลสที่มาในรูปของความบังเอิญ


20 กรกฎาคม

เมื่อคืนในสมาธิ ผมรู้สึกถึงการมีอยู่ของใครบางคน ลมหายใจเย็นเฉียบรดต้นคอ ผมไม่ลืมตา แต่กำหนดรู้ แล้วภาพก็ปรากฏ ศพของผมเน่าเปื่อยกลางป่า แต่จิตกลับลอยสูงมองลงมาอย่างเฉยชา ความคิดเดียวที่เหลืออยู่คือความเสียดายที่ไม่ได้รู้จักร่างกายของคุณอย่างถึงที่สุด นี่คืออสุภกรรมฐานที่จิตปรุงแต่งขึ้นเพื่อย้ำเตือนถึงเป้าหมายที่แท้จริง


24 กรกฎาคม

คืนนี้ฝนตกหนัก ผมนั่งนิ่งท่ามกลางเสียงฝน จิตดำดิ่งลงสู่ความมืดมิด แล้วภาพก็ปรากฏ ผมไม่ได้อยู่ในห้องพัก แต่ไปยืนอยู่ในห้องนอนของคุณ กลิ่นของฝนที่เข้ามาทางหน้าต่างพร้อมแสงจันทร์อาบร่างคุณจนดูราวกับรูปสลัก ผมไม่ได้เห็นน้ำตา แต่เห็นสิ่งที่อยู่ลึกกว่านั้น คุณนอนตะแคง ลมหายใจสม่ำเสมอ แต่มือข้างหนึ่งของคุณเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าอยู่ใต้ผ้าผืนบาง มันเดินทางเพื่อปลอบประโลม นิ้วมือของคุณกำลังไล่ตามความทรงจำที่เจ็บปวดซึ่งฝังอยู่ในกลีบแผลชุ่มชื้นนี้ ทุกความเคลื่อนไหวของนิ้วเรียวพยายามลบรอยมลทินของชายคนนั้นด้วยสัมผัสของตัวเอง มืออีกข้างของคุณบรรจงไล้จากหูมาคอสู่อกโค้งทะนุถนอมและเคล้าคลึง มันคือท่วงท่าที่งดงาม ปลายนิ้วสัมผัสเมล็ดแห่งความสุขแผ่วเบาราวกับกลัวมันเจ็บ หมุนวน เนิบช้า เนิ่นนาน เมื่อถึงจุดเกินกลั้นร่างของคุณสั่นระริกและเสียงครางแผ่วเบาที่หลุดลอดออกมาเป็นเสียงของการปลดปล่อยความทุกข์ที่อัดอั้น ผมอยากจะก้าวเข้าไป แต่ทำได้เพียงเฝ้ามองพิธีกรรมส่วนตัวอันศักดิ์สิทธิ์นี้

ผมลืมตาขึ้นมาแล้วหยิบคู่มือปฏิบัติธรรมขึ้นมาอ่าน ในนั้นบรรยายถึงอาณาปานสติขั้นที่ 5 และ 6 ว่าด้วยการ ‘รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ’ และ ‘รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข’ ผมเข้าใจแล้ว เสียงครางแผ่วเบานั้นคือเสียงของปีติ การเคลื่อนไหวของปลายนิ้วนั้นคือการบ่มเพาะสุขที่ประณีต นี่คือการเจริญเวทนานุปัสสนา คุณกำลังใช้ร่างกายของตนเองเพื่อชำระล้างบาดแผลทางใจให้บริสุทธิ์อีกครั้ง และผมได้รับอนุญาตให้เป็นพยาน ใช่ คุณคือทราย ผมคือไฟที่กำลังหลอมคุณให้เป็นแก้วใส เป็นภาชนะที่บริสุทธิ์และพร้อมรับแสงแห่งการหลุดพ้น


25 กรกฎาคม

มีกระดาษเตือนหน้าห้องผมว่า “เมื่อคืนวานคุณไม่อยู่ในที่พักของคุณ โปรดเคารพกฎ” หมึกสีน้ำเงินเย็นชา ผมงุนงงหรือจิตพาร่างผมไปเป็นพยาน


26 กรกฎาคม

โยคีชื่อ เมฆ เพิ่งกลับมาที่อาศรม ท่าทางสงบนิ่งและมีแววตาที่ลุ่มลึก ทุกคนให้ความเคารพเขา รวมทั้งคุณ คุณสนทนากับเขาใต้ต้นโพธิ์ด้วยภาษาของปัญญา ผมรู้สึกเหมือนถูกช่วงชิงพื้นที่ในจิตของคุณ แววตาที่คุณมองเขา มันคือแววตาที่ผมอยากให้มองมาที่ผม

โยคีเมฆเดินสวนผม เขากล่าวเรียบๆ ว่า “บางครั้ง นิมิตที่งามที่สุด ก็คือพันธนาการที่แน่นที่สุด” คำพูดของเมฆทิ้งความว่างเปล่าไว้ในหัว พันธนาการ? เป็นครั้งแรกที่โครงสร้างความเชื่อทั้งหมดของผมสั่นคลอน หรือว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องที่ผมแต่งขึ้นเพื่อปลอบประโลมความปรารถนาของตัวเอง? ผมกลับถึงห้อง นั่งอยู่ในความมืดที่หนักอึ้ง ปล่อยให้ความสงสัยกัดกินเหมือนกรด ชั่วขณะหนึ่ง ผมเกือบจะยอมจำนนต่อความว่างเปล่านั้น คำพูดของโยคีเมฆดังขึ้นในความจำ “คุณเปลี่ยนภาพให้ตรงใจ ไม่ตามความเป็นจริง” ไม่ “ทุกสิ่งที่เราประดิษฐ์ขึ้น ก็เป็นจริงในแบบของมัน” ผมรู้สึกถึงไฟในอก นี่ต่างหากคือบททดสอบที่แท้จริง คือมารที่มาในร่างนักปราชญ์เพื่อทดสอบศรัทธาที่ผมมีต่อคุณ


27 กรกฎาคม

คืนนั้น ผมหลับไม่สนิท จิตจมอยู่ในภวังค์กึ่งฝันกึ่งตื่น เป็นเศษเสี้ยวของประสบการณ์ดิบ เสียงผิวหนังที่เปียกชื้นเสียดสีกันในความมืด, กลิ่นเหงื่อผสมกับกลิ่นกำยานจางๆ, จังหวะของร่างกายที่โยกไหวพร้อมเพรียงกันจนเกิดเป็นเสียงทุ้มต่ำในอากาศ ไม่มีใบหน้าใดที่ชัดเจน ไม่มีร่างกายใดที่เป็นของคุณ มีเพียงผมที่จมอยู่ท่ามกลางคลื่นมนุษย์ที่เคลื่อนไหวเป็นหนึ่งเดียว ผมสะดุ้งตื่นในความมืดก่อนรุ่งสาง ร่างกายชุ่มเหงื่อ และมีหลักฐานของความปรารถนาที่ร่างกายทรยศต่อจิตใจเปรอะเปื้อนอยู่ในกางเกง ผมจำอะไรไม่ได้เลย จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครในความฝันนั้น เป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ ความว่างเปล่าในความทรงจำนั้นน่ากลัวกว่าภาพใดๆ จิตของผมที่เพิ่งเอาชนะมารเมื่อวานนี้ กลับถูกร่างกายลากลงสู่โคลนตมในยามหลับใหล ผมหยิบคู่มือขึ้นมาอ่านอีกครั้งด้วยมือที่สั่นเทา จนกระทั่งเจอคำว่า ‘อนัตตา’ ความไม่ใช่ตัวตน และขั้นสุดท้ายที่ว่าด้วย ‘การพิจารณาเห็นความสละคืน’ แล้วความคิดหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมา จิตของผมไม่ได้พ่ายแพ้ มันกำลังแสดงให้ผมเห็นถึงสภาวะของการ “ไร้ตัวตน” ต่างหาก การที่ผมจำหน้าใครไม่ได้เลย แม้แต่ตัวเอง นั่นคือสภาวะอนัตตา การหลอมรวมกับมวลชนในฝัน คือบทเรียนเรื่องการสละคืนอัตตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ร่างกายของผมเพียงแค่ตอบสนองต่อพลังงานมหาศาลนั้นตามสัญชาตญาณ


1 สิงหาคม

ผมวางดอกลีลาวดีไว้ที่มุมเสื่อของคุณ วันรุ่งขึ้นมันไปอยู่บนมวยผมของโยคินีน้ำ ขณะคุณเดินสวนกัน คุณขยิบตาให้หล่อน ผมเห็นคุณไม่ได้ส่งต่อแค่ดอกไม้ แต่กำลังส่งต่อบทเรียนให้ผมผ่านสื่อกลาง เพื่อเตรียมจิตของผมให้พร้อมรับการหลอมรวม


3 สิงหาคม

คืนนี้ผมเดินกลับห้องพักดึกกว่าปกติ ผ่านห้องพักของโยคินีลม ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงที่ลอดออกมาจากข้างในนั้นชัดเจนขึ้น เสียงครางที่พยายามเก็บกดแต่ไม่อาจซ่อนเร้น ผมหยุดเดินโดยไม่รู้ตัว แม้ไม่มีภาพให้เห็น แต่เสียงนั้นก็วาดทุกอย่างขึ้นในหัว มันเป็นการเรียกร้องอย่างหิวกระหาย เสียงของการสนองความต้องการทางกายที่ดิบเถื่อน มันคือเสียงของสัตว์โลกที่ติดอยู่ในบ่วงแห่งสัญชาตญาณ

ผมรีบเดินจากมา นี่คือสิ่งที่ในคู่มือเรียกว่า ‘กามฉันทะ’ นิวรณ์ข้อแรกที่เป็นเครื่องกั้นความดี คือพลังงานที่รั่วไหลซึ่งกำลังดึงอาศรมให้ต่ำลง ช่างแตกต่างจาก ‘ปีติ’ และ ‘สุข’ อันศักดิ์สิทธิ์ของคุณเหลือเกิน นั่นคือการชำระล้าง นี่คือการปล่อยตัว นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าไม่ใช่ทุกร่างกายที่เป็นประตูสู่การหลุดพ้น บางร่างกายเป็นเพียงกรงขังแห่งราคะ


9 สิงหาคม

วันนี้ผมเดินลึกเข้าไปในป่า เดินสู่ลานดินเล็กที่รับแสงส่องเฉียง เงียบผิดธรรมชาติราวป่ากำลังกั้นหายใจ ผมเห็นภาพที่จะปลดปล่อยพันธนาการทั้งปวง คุณกับโยคินีน้ำอยู่ที่นั่น ร่างกายเปลือยเปล่าทั้งสองเคลื่อนไหวในท่วงทำนองที่เก่าแก่กว่าโยคะ ผิวหนังที่ชุ่มเหงื่อแนบสนิทกันจนเป็นเนื้อเดียว การเคลื่อนไหวของสะโพกสอดรับกันเพื่อค้นหาจุดสมดุลแห่งจักรวาล กลีบน้ำเบียดกลีบทราย เป็นจังหวะช้าแล้วเร็ว แล้วช้าลงอีก เสียงครางแผ่วเบาที่หลุดออกมาเปล่งมนต์โอมด้วยลมหายใจแห่งชีวิต มือคู่หนึ่งประสานกันและกันแน่น ขณะที่อีกมือเคล้าคลึงทรวงอกที่เผยงดงาม วูบลมพัดเส้นผมคุณให้ล่องลอย ริมฝีปากหยอกเย้าเม็ดแห่งสตรี ลิ้นละเลียดรสกายอันวิเศษ กิริยาสูงส่งของคุณคือการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ คือการหลอมรวมของธาตุ น้ำที่โอบรับทราย น้ำกระเพื่อม เม็ดทรายสั่นไหว ทุกอย่างทรงพลัง และเป็นอิสระจากนิยาม

ในวินาทีหนึ่ง คุณเหลือบตามาทางที่ผมยืนอยู่ แววตานั้นว่างเปล่า ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของผม แต่ในความว่างเปล่าเดียวกันนั้นเองที่ผมรู้สึกถูกดึงเข้าไป ร่างกายของผมตอบสนองราวกับเป็นส่วนหนึ่งของจังหวะนั้น ลมหายใจของผมสอดประสานเข้ากับเสียงครางแผ่วเบา และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง จิตของผมก็ทะลุทะลวงผ่านม่านมายา ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด ไม่ได้หึงหวง แต่กลับ ‘ว่าง’ อย่างสมบูรณ์ ภาพที่เห็นคือการสาธิตว่าร่างกายคือประตูสู่การหลุดพ้น นี่คือ ‘นิโรธ’ ความดับทุกข์ที่คู่มือกล่าวถึง ทั้งร่างของผมสั่นวูบในเสี้ยววินาทีนั้น มันไม่ใช่ร่างของผมเลย

ผมเดินเข้าไป โค้งคำนับให้คุณทั้งสองที่ผละออกจากกันด้วยความตกตะลึง ผมเปล่งวาจาออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและลึก “ผมบรรลุแล้ว ขอบคุณที่แสดงให้เห็นถึงสัจธรรม ไฟของผมดับแล้ว”


15 สิงหาคม

วันรุ่งขึ้นผมถูกขอให้ออกจากอาศรม คุรุมองด้วยสายตาสงสาร “ไฟของเธอยังไม่ดับหรอก ยังอยู่ครบสามกอง”


20 สิงหาคม, กรุงเทพมหานคร

ผมกลับสู่เมือง ใช้ชีวิตต่อไปตามเดิม