กรุงเทพ...โอเดินสิ (Bangkok Odyssey)
เสียงเพลง “Friday I’m in Love” ในหูฟัง ช่างสวนทางกับชะตากรรมของผมในเย็นวันศุกร์นี้โดยสิ้นเชิง ร่างกายที่อดหลับอดนอนผ่านสมรภูมิรบมาตลอดสัปดาห์กำลังร่ำร้องหาเตียงนุ่ม ๆ ที่คอนโด การเดินทางกลับจากออฟฟิศด้วยรถไฟฟ้าทั้ง MRT และ BTS ราบรื่นงดงามราวกับโรยด้วยหนามกุหลาบ
ฝนที่ตกหนักมาตั้งแต่บ่ายเพิ่งหยุดเมื่อผมมาถึงสถานีหน้าห้างดัง เหลือระยะทาง 800 เมตรสุดท้ายก่อนจะถึงคอนโด
ผมเปิดแอปพลิเคชันเรียกรถสีเขียวขึ้นมาด้วยความหวัง ราคาที่เคยเห็นอยู่ 24 บาท บัดนี้พุ่งทะยานไปที่ 64 บาทถ้วน เป็นผลจากราคาที่ปรับตามอุปสงค์-อุปทานในชั่วโมงเร่งด่วน กลไกตลาดสมบูรณ์แบบที่ผมช่วยออกแบบเองนี่แหละ ชื่นใจเหมือนโดนผลงานตัวเองตบหน้า
ความคิดที่จะเดินกลับ ถูกพับเก็บทันทีที่เห็นสภาพซอยเบื้องหน้า ฝนที่เพิ่งกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาได้เปลี่ยนถนนให้กลายเป็น “คลองแสนแสบสาขาสอง” ไปเรียบร้อย รองเท้าหนังคู่ใหม่ของผมคงได้แต่ส่งเสียงร่ำไห้อยู่ในใจ
ในเมื่อไม่มีทางเลือก ผมจึงกัดฟันยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อเรียกรถยนต์ แต่หลังจากรออย่างไร้จุดหมายไป 24 นาที พี่คนขับก็โทรมาด้วยน้ำเสียงเห็นใจ “น้องครับ รถติดแบบนี้ไม่คุ้มเลย” ก่อนจะกดยกเลิกไป ขอบคุณสำหรับความซื่อสัตย์ครับพี่!
ผมเหลือบมองแบตเตอรี่มือถือ 24% พอ ๆ กับพลังชีวิตที่เหลืออยู่ในร่างกายของผมพอดี
เอาวะ ไปต่อคิวแท็กซี่หน้าห้างก็ได้ แต่ภาพที่เห็นคือแถวยาวเหยียดของเพื่อนร่วมชะตากรรม นึกว่ามาต่อคิวรอซื้อของลิมิเต็ดเอดิชันชิ้นใหม่ พอถึงคิวผม ประโยคที่ว่า “พี่ครับ ไปแค่ในซอย " ก็ทำงานราวกับเวทมนตร์ พี่ ๆ คนขับโบกมือปฏิเสธกันเป็นพัลวัน ใกล้ไปไม่คุ้ม ครับ
ยังมีทางเลือกรถกะป๊อ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์? “80 น้อง!” เสียงคนขับบอกราคาอย่างไม่ใยดี ระยะทางแค่นี้เนี่ยนะ? แต่เอาเถอะ ดีกว่าไม่ได้กลับ ผมคิดผิด รถเคลื่อนตัวไปได้ไม่ไกลก็จอดแน่นิ่งดับสนิทอยู่กลาง “น้ำรอระบาย” พร้อมเสียงบ่นพึมพำของคนขับ จบ
ในที่สุด ผมคงต้องเดิน ในใจนึกถึงบทกวี ‘เท้าของเธอ’ ของเนรูด้า ผมถอดรองเท้าหนังพาดบ่า แล้วก้าวเท้าลงไปในมวลน้ำสีขุ่นอุ่น ๆ สัมผัสกับทุกสรรพสิ่งที่ไม่สามารถระบุได้ว่าคืออะไร สรรพชีวิตแสนสกปรกที่มองเห็นและมองไม่เห็นสารพัดที่มากับคลองแสนแสบสาขาสองนี้ กวีอุทาน น้ำขุ่น-ไหลอุ่น-ไม่เห็นปลา! …นี่สินะ กรุงเทพฯ… ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว
เมื่อลากสังขารมาถึงหน้าประตูห้องได้สำเร็จ ขณะกำลังจะไขกุญแจ โลกทั้งใบก็หมุนติ้ว เดี๋ยวนะ นี่เราเหนื่อยจนตาลาย โลกหมุนหรือพื้นมันสั่นเอง? วินาทีต่อมา เสียงข้าวของร่วงหล่นกระทบพื้นแตกกระจาย ไม่ได้ฝันไป แผ่นดินไหว!
แผ่นดินไหว ที่กรุงเทพนี่นะ เป็นไปได้ยังไง สติที่กระเจิงไปกลับเข้าร่างในสามวินาที นึกขึ้นตอนเล่นเกมเอาตัวรอด เราต้องหาเกราะป้องกันตัวก่อน สิ่งแรกที่ผมคว้าคือ หมวกกันน็อกมอเตอร์ไซค์! ผมมีติดคอนโดได้เพราะกฎหมายใหม่บังคับผู้โดยสารสวมหมวกกันน็อก ตามด้วยพาวเวอร์แบงก์ และ โน้ตบุ๊กบริษัท พรีเซนต์สำหรับวันจันทร์ยังไม่เสร็จ ผมรอด งานก็ต้องรอด ต้องปกป้องมันยิ่งชีพ! แต่เมื่อคิดดูอีกที ถึงผมจะตายไป งานก็ยังอยู่ดีบนคลาวด์อยู่แล้วนี่
ได้สติแล้วผมก็ปลอบใจตัวเอง กฎหมายตึกไทยรองรับแผ่นดินไหว ผมจบวิศวะ ผมรู้ดี ‘ตึกสูงไทยปลอดภัย’ ไม่อยากจะคุย ผมเคลียร์เกม Resident Evil โหมดยากครบทุกภาค แรงสั่นระดับนี้ แต่ใจผมไม่สั่น เสียงสัญญาณเตือนภัยดังต่อเนื่องแผดลั่นราวกับเสียงจากขุมนรก ผมพรวดพราดออกไปที่ประตูหนีไฟ เดินไวลงจากชั้น 24 ที่นั่นคือการรวมตัวของ “สหประชาชาติย่อม ๆ” ทั้งฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี แถมด้วยน้องหมาในกระเป๋า น้องแมวในอ้อมแขน ทยอยร่วมขบวนเดินออกจากตัวตึก นี่คอนโดหรือศูนย์อพยพนานาชาติกันแน่?
พอลงมาถึงพื้นดินอย่างปลอดภัย บรรดาคนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน เราต่างยืนเกาแขนกันยุกยิกท่ามกลางฝูงยุงที่บินว่อนราวกับเจอ “บุฟเฟ่ต์เลือดเคลื่อนที่”
โทรศัพท์ดังขึ้น แม่! “ลูก ปลอดภัยนะ?!” ผมตอบกลับไป “ปลอดภัยดีแม่ ไม่ต้องเป็นห่วง” โทรศัพท์ก็สัญญาณตัดไปเพราะคู่สายคงเต็ม
สายจากแม่เพิ่งตัดไปได้ไม่ถึง 24 วินาที โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เบอร์ไม่คุ้นแฮะ “สวัสดีครับ ผมร้อยตำรวจเอกสมสืบ จาก สภ.เมืองเชียงรายนะครับ พอดีเราตรวจยึดพัสดุผิดกฎหมายและพบสมุดบัญชีชื่อคุณ "
ผมนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยที่สุดในชีวิต “พี่ครับ ตอนนี้แผ่นดินไหวเพิ่งจะหยุด ผมยืนตากยุงอยู่ใต้คอนโด ถ้าจะอายัดบัญชีหรือจะจับ เชิญมาที่นี่ได้เลยครับ พี่จะได้ทุกอย่างที่ต้องการ” ปลายสายเงียบไปสองวิ ก่อนจะตัดสายทิ้ง สงสัยภัยพิบัติคงไม่อยู่ในสคริปต์ คู่สายแน่นแค่ไหน ก็ไม่สามารถหยุดมิจฉาชีพได้
ทันใดนั้น เสียงแจ้งเตือนจากมือถือของคนข้าง ๆ ดังขึ้นพร้อมกัน “ข่าวด่วน! เกิดเหตุตึกถล่มย่าน จตุจักร” เท่านั้นแหละ วงแตก! ความโกลาหลระดับสิบก็บังเกิดขึ้นทันที… ‘ตึกสูงไทยปลอดภัย’
ความคิดแรกแวบเข้ามาในหัว “กลับบ้านที่ชานเมืองดีกว่า” ผมเปิด Google Maps ดู 42.24 กิโลเมตร อืม ยิ่งกว่าระยะฟูลมาราธอนอีก ถ้าเริ่มเดินตอนนี้คงถึงเช้า พร้อมกับขาที่อาจจะต้องตัดทิ้ง
ความคิดนี้ถูกพับเก็บไปอย่างรวดเร็ว ผมตัดสินใจได้ในที่สุด ยอมเสี่ยงตายบนห้อง ดีกว่าเหนื่อยตายกลางถนน ว่าแล้วก็เดินสวนกระแสฝูงชนกลับขึ้นไปยังคอนโดที่ยังไม่รู้ว่าจะถล่มลงมาเมื่อไหร่
ติ๊ง! ข้อความจากบริษัทเด้งขึ้นมา ไล่เช็กชื่อลูกน้องในทีมทีละคน โอเค ทุกคนยังอยู่รอดปลอดภัยดี พรุ่งนี้ค่อยไปตายกับเดดไลน์ต่อ
ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน การเดินทาง และภัยพิบัติ รุมสหบาทาต่อร่างและวิญญาณ ผมเดินไปทิ้งตัวลงที่เตียง หลับตาลงไม่สนิทนักเพราะกังวลวันจันทร์มีพรีเซนต์งานกับซีอีโออีก
- ปล. อยากเพิ่มรายละเอียดต่างๆ อีก เช่น กลอน น้ำขุ่น-ไหลอุ่น-เห็นขยะ ลอยมากะแมลงสาปปีกไหวไหว, ให้เห็นชีวิตคนกรุงเทพ ตอนน้ำท่วมซอยอีกหน่อย ให้เห็นชีวิตคนทำงานออฟฟิศอีกนิด